“เบิร์กแคมป์! เบิร์กแคมป์! เบิร์กแคมป์!” ชื่อที่ชาวดัตช์ต้องนึกถึงเสมอแน่นอน หากบทสนทนาของคุณคือกำลังพูดถึงฟุตบอลโลก ฟรองซ์ 98 แต่รู้หรือไม่ ? ว่าในระดับสโมสรกับ อาร์เซน่อล “เดนนิส เบิร์กแคมป์” อาจไม่ใช่ชื่อแรกที่ถูกนึกถึงบ่อย ๆ หากว่าเขา.. ไม่ได้เป็นคู่หูในแดนหน้าร่วมกับ “เธียร์รี่ อองรี”
ขณะที่ เดนนิส เบิร์กแคมป์ โดดเด่นอย่างมากและกำลังเฉิดฉายในฟุตบอลโลก 1998 ก็เป็นช่วงที่ดาวยิงชาวฝรั่งเศส เธียร์รี่ อองรี เพิ่งจะได้เริ่มโชว์ฝีเท้าบนเวทีนานาชาติกับประเทศของตัวเองด้วยวัยเพียง 20 ปี และแน่นอน เขาได้ชูถ้วยแชมป์โลกในปีนั้น ส่วนทีมชาติฮอลแลนด์ต้องพ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษให้กับบราซิล ซึ่งนั่นหมายความว่า เบิร์กแคมป์ และ อองรี พลาดโอกาสที่จะได้มาเจอกันในรอบชิงฯ แต่ทว่าในปีต่อมา พวกเขาก็ได้มาร่วมงานกันที่ อาร์เซน่อล และสร้างทีมที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกันถึง 7 ซีซั่น
ก่อนปรากฏการณ์
อันที่จริง.. ก่อนที่ อองรี จะย้ายไป อาร์เซน่อล เขาเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากทั้งกับสโมสรโมนาโก จนกระทั้งย้ายไปยูเวนตุส และรวมถึงฟอร์มที่เล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสเช่นกัน ส่วนมาก อองรี มักถูกวางให้เล่นเป็นตัวเจาะแผงหลังบริเวณริมเส้น ซึ่งนั่นเป็นการเล่นที่ต้องมีวินัยมาก และคุณรู้หรือไม่ ?.. ว่ามันไม่ใช่ธรรมชาติของเขา
ในขณะเดียวกันทางด้าน เบิร์กแคมป์ กลับไม่เคยมีปัญหากับฟอร์มการเล่นให้สโมสรในอังกฤษเลย มิหนำซ้ำ เขาประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ จากฟอร์มการเล่นที่เปรี้ยงปร้างทั้งการผลิตสกอร์และแอสซิสต์ ที่ได้ตัวเลขสองหลักเสมอ แต่ก็กลับพลาดแชมป์ในวันสุดท้ายไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
และเมื่อทั้ง อองรี กับ เบิร์กแคมป์ ได้มาคอนเนคกันที่อาร์เซน่อล คุณคงทราบดีว่าเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นที่ไฮบิวรี่ ไม่ว่าจะเป็นผลงานการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ สถิติแบบไร้พ่าย และสไตล์การเล่นที่เอนเตอร์เทนคนทั้งโลก ฟอร์มอันร้อนแรงที่ถูกเล่าขานจากไฮบิวรี่จนถึงเอมิเรตส์สเตเดียมมาจนในทุกวันนี้ ซึ่งเครดิตความสำเร็จนี้ ต้องยกให้กับ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้ซึ่งนำพา อองรี มายังสโมสร และเลือกที่จะเสี่ยงกับดาวรุ่งผู้ที่เคยฟอร์มบู่ในลีกเอิงและกัลโช่ จน อองรี ก็ได้พิสูจน์ตนเองสำเร็จ และกลายเป็นการตัดสินใจที่สุดตลอดกาลของ เวนเกอร์ ในเวลาต่อมา
เกิดอะไรบ้าง.. กับฤดูกาลแรกที่ อาร์เซน่อล
การประสานงานระหว่าง อองรี กับ เบิร์กแคมป์ แทบจะต่อติดกันในทันที แต่ฟอร์มอันแข็งแกร่งของ เอ็นวานโก้ คานู ก็ทำให้ อองรี ยังไม่ได้เป็นคู่หูกับกองหน้าชาวดัตช์ในทันที เวนเกอร์ มีอาวุธหนักเป็นสามคนนี้ในฤดูกาลแรก อองรี ถูกขยับออกไปเล่นด้านข้าง เพื่อให้ทีมชุดนั้นลงตัว แต่ในไม่ช้าเขาก็ถูกย้ายมาในตำแหน่งที่ตัวเองถนัด จากการโรเตชั่น เพื่อหาจุดลงตัวของทีม
สามอาวุธหนักของอาร์เซน่อล ทำให้ไม่เคยมีใครลงตัวจริงเกิน 26 เกมในฤดูกาลนั้น และ 17 ประตูในลีก ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับ อองรี ในขณะที่ เบิร์กแคมป์ ก็สร้างสรรค์เกมได้อย่างมากมาย แถมยังทำได้อีก 6 ประตูในลีก จากทีมที่ไม่เคยถูกยกมาเป็นคู่แข่งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็กลับกลายเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกด้วยคะแนนนำห่างถึง 18 คะแนนในขณะนั้น
Connected !
ฤดูกาลถัดมา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คล้ายกับฤดูกาลที่แล้ว ราวกับว่าปัญหาในทีมที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่มากพอ เมื่อ โรแบร์ ปิแรส และ ซิลแวง วิลตอร์ ได้เพิ่มเข้ามาในบทบาทแนวรุก ความสามารถของพวกเขาเหล่านี้ทำให้เบิร์กแคมป์ ถึงกับมีบทบาทน้อยลง ถึงขั้นได้ลงเล่นไม่ถึง 20 เกม และยิงได้เพียง 3 ประตู นำไปสู่หนทางการจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ และด้วยวัย 30 ปี เหมือนกับว่าเวลาของเขากับไอ้ปืนใหญ่ใกล้จะหมดลง

เหล่ากูนเนอร์สต่างบ่นว่า อองรี น่าจะมาที่ไฮบิวรี่ให้เร็วกว่านี้ แม้ว่าปีแรก อองรี จะยิงได้ 17 ประตู และกลายเป็นขวัญใจทันที แต่แฟน ๆ กลับอยากเห็นโอกาสที่เขาจะได้เล่นเป็นคู่หูให้กับ เบิร์กแคมป์ มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นที่ดรอปลงของ เบิร์กแคมป์ ก็ไม่ได้หยุดศิลปะการเล่นอันน่าทึ่งที่มีอยู่ในตัวของดาวเตะชาวดัตช์รายนี้เท่าไหร่ อย่างไรน่ะหรือ.. นั่นเพราะเมื่อมาถึงฤดูกาล 2001-2002 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของอาร์เซน่อล ภายใต้การคุมทีมของ เวนเกอร์ หลายคนถึงกับตะโกนว่า นี่คืออาร์เซน่อลที่ดีที่สุดตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และในอีก 2 ฤดูกาลให้หลัง พวกเขาก็กลายเป็นทีมไร้พ่าย โดยศูนย์กลางของความสำเร็จนี้ก็คือ เธียร์รี่ อองรี และ เดนนิส เบิร์กแคมป์ ที่ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้เล่นหน้าคู่ด้วยกันอย่างรู้ใจ วัยเลขสามของไอซ์เบิร์กไม่ได้เป็นอุปสรรคของการคอนเนคชันระหว่างเขากับศูนย์รุ่นน้องแต่อย่างใด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นคู่กองหน้าที่โดดเด่นที่สุดในพรีเมียร์ลีกในยุคนั้น ส่วน วิลตอร์ กลายเป็นปีกทดแทนตามความเหมาะสมของระบบทีม
ทั้งคู่ต่างรู้หน้าที่ของตัวเอง
เบิร์กแคมป์ สวมบทเป็น เดดอาย สร้างและป้อนโอกาส โดยใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมามอบให้ อองรี ที่สวมบทเป็น ฮันเตอร์ คนจบสกอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนั่นก็เป็นธรรมชาติ อองรี อยู่แล้ว ผลก็คือ อองรี ซัดไป 24 ประตูในลีก และคว้ารองเท้าทองคำไปครอง อย่างไรก็ตาม.. สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือการพาอาร์เซน่อลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ทั้งคู่ประสานงานกันได้ดีจนสามารถแย่งตำแหน่งแชมป์จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือว่าได้แก้แค้นที่ทำให้ไอปืนใหญ่กลายเป็นรองแชมป์เมื่อสองฤดูกาลก่อนหน้านี้
และช่วงเวลาที่เป็นไฮไลท์ที่สุดบนเส้นทางแชมป์ครั้งนี้ของเขาทั้งสองคนก็คือ เกมที่ไปเชือดนิวคาสเซิล 2-0 ซึ่งปกติแล้ว เบิร์กแคมป์ จะเป็นผู้จ่ายบอล แค่ครั้งนี้เขาทำประตูด้วยตัวเอง ด้วยพรสวรรค์อันสุดยอดของเขา หลังจากรับบอลจาก โรแบร์ ปิแรส เขาได้ตวัดบอลอ้อมตัวกองหลังอย่าง นิคอส ดาบิซาส ในจังหวะเดียว และวิ่งอ้อมไปรับบอลจากอีกด้านหนึ่งอย่างเชื่องเท้า ก่อนที่จะยิงมันผ่านมือผู้รักษาประตูด้วยตนเอง
แม้ในฤดูกาลนั้น เบิร์กแคมป์อายุก็ล่วงเลยมา 33 ปีแล้ว แต่ถึงกระนั้น นั่นเพิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นความสำเร็จในระดับสโมสรตลอดการค้าแข้งของเขา ปีนั้นอาร์เซน่อลสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์เอาไว้ได้ แถมพวกเขายังคว้าแชมป์เอฟเอคัพกลับบ้านได้อีกสมัย ปีนั้นถือเป็นดับเบิ้ลแชมป์ของไอ้ปืนใหญ่ ทั้งคู่แสดงความชื่นชมกันและกัน ทั้งในสนามและนอกสนาม อองรี เคยบอกว่า เบิร์กแคมป์ คือนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเล่นด้วย ในขณะเดียวกัน ปรมาจารย์ชาวดัตช์ก็กล่าวถึงกองหน้าคู่หูว่า “อองรี คือคู่หูที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
Unbeatable
ในฤดูกาล 2003-2004 ฟอร์มของทั้งทีมช่วยกันผลักดันกันจนทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก มันเกินที่จะบรรยายเป็นคำพูดในฤดูกาลไร้พ่ายของพวกเขา แต่ก็นั่นแหละ สถิติที่เกิดขึ้นได้บรรยายสิ่งเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว ว่าพวกเขาไม่แพ้ใครในลีก ทั้งคู่จะสามารถเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ก็ต่อเมื่อทั้งคู่ได้เล่นด้วยกันเท่านั้น โดยทั้ง อองรี และ เบิร์กแคมป์ ต่างคนต่างได้รับพรสวรรค์อันล้นเหลือมาคนละแบบ แล้วการมาประสานงานด้วยกันนั้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก จนทำให้ เวนเกอร์ ออกปากชมจนพวกเขากลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของทีมในฐานะรุ่นพี่และรุ่นน้อง แม้ว่า อองรี จะดูเหมือนเป็นผู้เล่นที่สำคัญกว่า แต่ เบิร์กแคมป์ ยังเป็นคนที่สำคัญกับเกมมากกว่าถึง 2 ใน 3 บนเส้นทางความสำเร็จที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และการผนึกกำลังกันของทั้งคู่ทำให้การเล่นในบ้านจบลงด้วยชัยชนะทั้งหมด จนไปถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่เจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้

One More Year Effects
สองฤดูกาลถัดมาหลังจากนั้น ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เบิร์กแคมป์ คู่หูคนสำคัญได้เตรียมตัวที่จะส่งไม้ต่อให้กับกองหน้าชาวดัตช์อีกรายหนึ่ง นั่นคือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี ผู้ที่เข้ามารับแทนตำแหน่งนี้โดยทันที อย่างไรก็ตาม เบิร์กแคมป์ ยังคงสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2004-2005 ซึ่งเขาฝากผลงานยิง 1 กับ 3 แอสซิสต์ ในเกมถล่มเอฟเวอร์ตัน 7-0 และนั่นทำให้เกิดเหตุการณ์ “one more year” ที่ทำให้เขาได้ต่อสัญญากับทีมไปอีก 1 ปี ด้วยวัย 36
ฤดูกาลถัดมา อองรี จึงได้ทำลายสถิติแซงหน้า เอียน ไรท์ ผู้ที่เคยเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะ เบิร์กแคมป์ ยังคงทำหน้าที่เดดอายผู้สร้างโอกาสการจบสกอร์ให้เสมอ อองรี ยิงได้ 25 และ 27 ประตูในลีกจากสองฤดูกาลลสุดท้ายกับคู่หูของเขา เป็นการตอกย้ำว่า จากนั้นเมื่อหลังจาก เบิร์กแคมป์ แขวนสตั๊ด อองรี ก็ย้ายไปบาร์เซโลน่า
ความสวยงามที่น่าจดจำ
บางคนเคยกล่าวไว้ว่า เส้นทางอาชีพของ เบิร์กแคมป์ สิ่งที่งดงามที่สุด คือการได้เล่นร่วมกับ อองรี และมันก็ได้จบลงไปในปีเดียวกันกับที่สโมสรได้ยกเลิกใช้สนามไฮบิวรี่ ที่ที่อาร์เซน่อลใช้เป็นสนามเหย้าตั้งแต่ปี 1913 และความยิ่งใหญ่ของ อองรี และ เบิร์กแคมป์ คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสนามที่อายุกว่าร้อยปีแห่งนั้น
แม้ว่าสนามจะไม่อยู่แล้ว แต่ความทรงจำต่าง ๆ จะยังคงอยู่ และจะยังถูกจดใจไว้ในใจของชาวกุนเนอร์สจากรุ่นสู่รุ่นที่ได้สัมผัสกับความสุขนั้น ในทำนองเดียวกัน แม้ว่า เบิร์กแคมป์ จะมีเส้นทางการค้าแข้งที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน แต่การได้มาเป็นคู่หูของ อองรี คือสิ่งเดียวที่จะถูกจดจำไปตลอด ในฐานะหนึ่งในคู่หูดูโอ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล
Source & Credit : https://thesefootballtimes.co/2018/08/31/the-master-and-the-apprentice-dennis-bergkamp-and-thierry-henry-at-arsenal
iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“Football can make a friend, can make a life”
::::: ต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา :::::
แอด LINE : @803toskz หรือคลิกลิงค์นี้ http://nav.cx/omAqg0Q