การที่สปอร์ตไลท์จากนักข่าว นักวิจารณ์ หรือแม้แต่ผู้ชม จะพุ่งความสนใจไปยังดาวซัลโว นักเตะเกมรุก หรือจอมบัญชาเกมจากแผงกลาง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบมากมายให้แก่สโมสร ลีก และสมาคมฟุตบอลทีมชาติ ที่พยายามผลิต “นิว ลิโอเนล เมสซี่” “นิว คริสเตียโน โรนัลโด้” หรือแม้แต่ “นิว อิเนียสต้า” เพื่อมาเป็นเสาหลักของทีม ตอบรับสปอร์ตไลท์ที่สาดส่อง แล้วขายออกไปเพื่อรับเงิน เป็นวงจรแบบนี้เรื่อยไป

ฟังดูเป็นเรื่องชวนหัวเราะ ที่ผมและ Jon Townsend (เจ้าของบทความ JAMES MILNER IS NOT A ROBOT – BUT MAKE NO MISTAKE, HE IS A MACHINE) จะเห็นตรงกันว่า ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ ลีก และทีมชาติอังกฤษ จะต้องผลิต เจมส์ มิลเนอร์ คนต่อไปขึ้นมา

ฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม…และหากคุณลืมว่าเจมส์ มิลเนอร์ คือคู่แข่งของคุณในสนาม ผมขอเตือนให้คุณเตรียมตัวรับมือกับปัญหามากมายที่จะตามมาได้เลย

Jon Townsend (@jon_townsend3) เขียนเรื่องราวของเจมส์ มิลเนอร์ไว้ราวกับมหากาพย์เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมสนใจในบทความนี้มาก จึงได้ตวัดคีย์บอร์ดสรุปใจความได้เป็น 4 หัวข้อใหญ่ ๆ ดังนี้

เจมส์ มีลเนอร์

สิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จ คือแนวทางแบบเบ็ดเสร็จในด้านโภชนาการ การปรับสภาพร่างกายและจิตใจ และความสามารถในการพัฒนารูปแบบการเล่นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทีมมากที่สุด

สมรรถภาพเหนือกาลเวลา

มิลเนอร์ในวัยย่างเข้า 36 ปี ยังคงความเป็นมืออาชีพไว้ในฤดูกาลที่ 20 ของเขาอย่างไม่มีบกพร่อง สมรรถภาพ ความสามารถรอบด้าน และความฟิตของเขา ในฐานะของนักเตะที่ไม่ได้ติดทีมชาติ แล้วกลับมารายงานตัวช่วงพรีซีซั่น ยังคงเหนือกว่าค่ามาตรฐานในทุกเกณฑ์1

1เดลี่เมล์เคยรายงานข่าวไว้ว่า ชายวัย 35 ยังวิ่ง 8 กิโลเมตรได้ภายในเวลา 34 นาที (เพซ 4:36 นาที/กิโลเมตร)

สิ่งนี้เป็นเพียงเครื่องยืนยันในสมรรถภาพของเขา ดังเช่นเดียวกับผลการทดสอบจากการวิ่งทนประเภทวิ่ง Tempo2 ที่เป็นการวัดความสามารถของนักกีฬาในการออกกำลังกาย หรือแม้แต่ผลของการวิ่งไปกลับตามสัญญาณเสียง3 ก็ตาม

2การวิ่งโดยให้หัวใจเต้นอยู่ในโซน 3 ปลาย ถึง 4 ต้น คือประมาณ 80-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด

3Bleep test คือการทดสอบโดยให้วิ่งในระยะ 20 เมตร ไป-กลับ เรื่อย ๆ แต่ละรอบจะนับโดยเสียง bleep เริ่มจากความเร็ว 8.5 กม./ชั่วโมง และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นครั้งละ 0.5 กม./ชั่วโมง เรื่อย ๆ จนกระทั่งผู้ถูกทดสอบไม่สามารถทำต่อตามโปรแกรมได้

มิลเนอร์ไม่แม้แต่เพียงใช้ความพยายามจนสามารถดันเพดานขีดจำกัดขึ้นไปเท่านั้น แต่เขาพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเนื่องกันเป็นปกติมานานนับปี หากคุณได้ดูการซ้อม ทุกการยืดเหยียดของเขาล้วนมีท่าทีแข็งแกร่ง และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ผลงานในการวัดสมรรถภาพทางกายของเขาทิ้งผู้เล่นวัยหนุ่มกว่าหลายต่อหลายคนไว้ข้างหลัง และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตัวเองเสมอ

ตั้งแต่อายุ 16 ปีจากลีดส์ คุณจะได้เห็นความผิดปกติเกี่ยวกับการลงสนามของเขา ทุกปีที่ผ่าน ทุกสโมสรที่ได้เขาไป ล้วนส่งเขาลงสนามเป็นตัวจริง4 นับตั้งแต่ออกจากลีดส์ไปนิวคาสเซิล แอสตันวิลล่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือในปัจจุบันที่เป็นกองกลางเชิงสูงกับลิเวอร์พูล และเพิ่งได้ลงสนามเป็นตัวจริงในบิ๊กแมตซ์เกมพรีเมียร์ ลีกส์ ที่เสมอสเปอร์ไป 2-2 รวมถึงการลงมาในครึ่งหลังเกมส์คาราบาว คัพ กับเลสเตอร์ ซิตี้

4สถิติไม่โกหกเราครับ ฤดูกาล 02/03 เขาได้ลงสนาม 18 นัด ทำไป 2 ประตู และอยู่ในสนาม 507 นาที แต่ในฤดูกาล 03/04 ในวัย 17 ปี เขาได้ลงสนามถึง 32 นัด เป็นพรีเมียร์ลีก 30 นัด และเป็นตัวจริงถึง 27 นัด และอยู่ในสนามเฉพาะพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ถึง 2,380 นาที นี่คือเด็ก 17 ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างสูงมากในยุค 2003-2004 ของสองกุนซือ ปีเตอร์ รีด และ เอ็ดดี้ เกรย์ แม้สุดท้าย ลีดส์จะตกชั้นในปีนั้นด้วยอันดับที่ 19 แต่จุดนั้นคือ “การโบยบิน” ครั้งแรกของเขา ซึ่งนิวคาสเซิล โดยบรมกุนซือ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน จัดการสู่ขอกองกลางอายุย่าง 18 รายนี้เข้ามาด้วยราคา 7.4 ล้านยูโร มีเพียง ฌอง อแล็ง บูมซง วัย 25 กะรัต ผู้ย้ายมาด้วยค่าตัว 11.3 ล้านยูโร จากโอแชร์ แชมป์คูป เด เฟรนช์ ปี 02 และแวะไปเป็นส่วนหนึ่งของการคว้าแชมป์สกอตติช กับเรนเจอร์ส เมื่อตุลาคม 04 เท่านั้นที่ราคาเหนือกว่า

กราฟชีวิตของ เจมส์ มิลเนอร์ เริ่มเข้าสู่จุดที่สโมสร “ขาดเธอไม่ได้” ก็เมื่อถูกยืมตัวไปที่แอสตัน วิลล่า เมื่อฤดูกาล 05/06 ทั้งห้านัด (ไม่รวมลงเล่นเจอสโมสรต้นสังกัด ‘นิวคาสเซิล’ ไม่ได้) ที่ไม่มีเขา เสมอไปสอง และแพ้ถึงสามนัด หนึ่งในนั้นคือการถูกอาร์เซนอลเฆี่ยนถึง 5-0 

มิลเนอร์ เล่นกับนิวคาสเซิลอีกสามฤดูกาล ก่อนจะถูกปล่อยตัวไปแอสตัน วิลล่า ในฤดูกาล 08/09 ด้วยค่าตัวสูงกว่าขามาถึงสองเท่า (15 ล้านยูโร) วิลล่าโดยมิลเนอร์ตะกายขึ้นถึงอันดับหก และในฤดูกาล 09/10 ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศของ FA Cup (แพ้เชลซี 0-3) รวมถึงเป็นรองแชมป์ EFL Cup ในฤดูกาลนั้น (แพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1)จากนั้นเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ซื้อตัวเขาไปด้วยค่าตัว 22 ล้านยูโร ก่อนที่เขาจะคว้าอันดับสามในพรีเมียร์ลีกได้พร้อมกับทีมกาแลคติกอสรุ่นใหม่ของแมนซิตี้ ได้แก่ เอดิน เชโก้ ยาย่า ตูเร่ มาริโอ บาโลเตลลี่ ดาบิด ซิลบา อเล็คซานเดร์ โคลารอฟ และ เฌอโรม บัวเต็ง และทีมนี้ก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในนาทีที่ 93:20 ของนัดสุดท้าย ในฤดูดาล 2011/2012

จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างที่ประกอบสร้างเป็นตัวเขา ขึ้นอยู่กับอรรถประโยชน์ที่เขามี วินัยที่เขาสร้าง และความเชื่อถือได้ไม่ว่าจะเล่นตำแหน่งไหน5 จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมสองทีมใหญ่ (ในบิ๊กซิกซ์ อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล) ถึงเลือกใช้บริการเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

5อาจจะดูเป็นเรื่องประหลาด แต่เชื่อไหมครับ มิลเนอร์เล่นมาเกือบครบทุกตำแหน่งแล้วในสนามฟุตบอล เหลือสามอย่างที่เขายังไม่เคยเล่น คือเซนเตอร์แบ็ค ผู้รักษาประตู กับกรรมการ (อ้าว อย่างหลังเล่นไม่ได้เหรอ…)

แล้วอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เจมส์ มิลเนอร์ ยังคงยืนระยะทำผลงานได้ดี แม้จะอายุปาเข้าไปแล้ว 35 ก็ตาม??

หากคุณลืมว่าเจมส์ มิลเนอร์ คือคู่แข่งของคุณในสนาม ผมขอเตือนให้คุณเตรียมตัวรับมือกับปัญหามากมายที่จะตามมาได้เลย

ศาสตร์และศิลป์แห่งการยืนระยะ

ในฟุตบอลสมัยใหม่ไม่เหมือนกับสมัยเก่า ที่ผู้เล่นแต่ละคนต่างมีหน้าที่เฉพาะอีกต่อไป ปัจจุบัน ฟุตบอลสมัยใหม่มีสูตรสำเร็จที่เกิดขึ้นจากทั้ง “ขั้นตอนการฝึก” ที่มีลำดับแน่นอนชัดเจน “รูปแบบการฝึก” ที่จะฝึกปรือทั้งร่างกายและจิตใจของผู้เล่นตั้งแต่อายุยังน้อย มากไปกว่านั้น  การปรับใช้แทคติค (ยุทธวิธีฟุตบอล)  และความหลากหลายของนักเตะเลือดฟุตบอลใหม่ทั้งหลาย ก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปรัชญาการเล่นฟุตบอลที่ลื่นไหล (Fluid หรือ Liquid Football6) ขึ้นมา

6Fluid Football เป็นเรื่องที่เกิดมาไม่นาน ลักษณะคล้าย Tiki-Taka แต่เป็นฟุตบอลที่คน 11 คนในสนามพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนหน้าที่ของตนเองได้ตลอดเวลา ส่วนเจ้าของแนวคิด Fluid Football คือ เมาริซิโอ ซาร์รี่  

เราต้องยอมรับกันว่า ใครๆ ก็ชอบเกมที่ตื่นตาตื่นใจ ดังนั้น เมื่อเกมฟุตบอลเข้ามาถึงจุดที่เน้นความสวยงามของแทคติค และภาพลักษณ์ของนักฟุตบอลเป็นเรื่องสำคัญ การได้เข้าถึงโค้ชมืออาชีพตั้งแต่อายุยังน้อยของทายาทลูกหนังยุคมิลเลนเนี่ยมจึงกลายเป็นความจำเป็น เพื่อให้สโมสรสามารถผลิตตัวแทนแห่งความเฉลียวฉลาดทันเกม พรั่งพร้อมไปด้วยความสามารถ และมีความคิดสร้างสรรค์ ออกมาทันกระแสแห่งเกมฟุตบอลที่เกิดขึ้น

แต่เรื่องนี้ก็มีข้อโต้เถียง เพราะแม้ว่าการผลิตวัยรุ่นเหล่านั้นจะเป็นเรื่องที่ดีต่อสโมสร แต่มันก็มาพร้อมกันกับค่าใช้จ่ายเพื่อความคิดสร้างสรรค์ดังกล่าว (ต้องเข้าใจว่า โค้ชชั้นยอดทำงานให้ทุกสโมสรในเวลาเดียวกันไม่ได้) และก็ต้องยอมรับกันว่าบางทีมไม่ได้ต้องการความคิดสร้างสรรค์ หรือเล่นสวยงามแบบที่กระแสมีอยู่ เพราะเขาสามารถเอาชนะได้ด้วยการฝึกฝนมาดี และสมรรถภาพทางกายที่ดีเต็มขีด7 สิ่งนี้จึงเป็นคำถามต่อมาว่า “อะไรคือความคิดสร้างสรรค์ในสนามฟุตบอล”

7อธิบายเพิ่มคือ ทีมที่แพ้มักจะถูกมองว่า มีความคิดสร้างสรรค์ในเกมไม่ดี กลับกันกับทีมที่ชนะ อย่างไรก็ตาม ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการคิดของสมองซึ่งมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม ความคิดสร้างสรรค์คือลักษณะของความคิดที่มีหลายมิติ หลายมุมมอง  หลายทิศทาง  สามารถคิดได้กว้างไกล ไร้กรอบ และไร้ขอบเขต ดังนั้น ความคิดสร้างสรรค์ก็มีได้หลายมุมมอง

คำตอบไม่ได้กำหนดตายตัว เพราะความคิดสร้างสรรค์ก็มีลักษณะเช่นนั้น (โปรดอ่านเชิงอรรถท้ายบท 7 ประกอบ) ความคิดสร้างสรรค์ ก็มีลักษณะเหมือนของเหลวที่ไหลลื่นได้อยู่ตลอดเวลา ถ้าอธิบายตามผลแล้ว ความคิดสร้างสรรค์นั้น ในฟุตบอลยุคปัจจุบัน (ก็คือฟุตบอลสมัยใหม่) เข้าใจกันว่าเป็นความบันเทิงในสนามที่ประกอบไปด้วยประสิทธิภาพ กล่าวคือในชัยชนะแต่ละครั้ง  คนในสโมสรรวมถึงแฟนคลับต่างคาดหวังฟุตบอลที่สวยงาม และมีประสิทธิภาพที่ดี8 แต่ผู้เล่นสมัยใหม่ก็ไม่ได้มีแปดมือ รวมถึงตัดสินใจไม่เก่งในบางเรื่อง ความไม่แน่ใจของการตัดสินใจและหาสิ่งที่ควรทำในระหว่างเกม เพราะสิ่งนี้เราจึงต้องหวังพึ่งผู้เล่นที่ทำงานหนักราวกับหุ่นยนต์ แน่ล่ะ ผมกำลังพูดถึง เจมส์ มิลเนอร์

8ในที่นี้เข้าใจว่า หมายถึงการชนะในแมตซ์นั้นอย่างขาวสะอาด และแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามทำอะไรไม่ได้เลย (Dominant Football)

มิลเนอร์ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกคีย์โปรแกรมตามคำสั่ง แต่เขาเหมือนเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนให้เล่นกับเพื่อนร่วมทีมได้ทุกระบบ คล้ายออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกับเพื่อนร่วมทีมนั้น มิลเนอร์ยืนระยะได้นานถึงสองทศวรรษในระดับที่สูงสุด และเล่นให้กับโค้ชที่มีปรัชญาฟุตบอล รวมถึงความต้องการที่ต่างกันได้อย่างพอดี สิ่งนี้ไม่เพียงเป็นการย้ำให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความทนทายาด และความเฉลียวฉลาดของเขาในฐานะผู้เล่น และมืออาชีพ นี่คือผู้เล่นที่มีความสร้างสรรค์ในอีกมุมมองหนึ่ง แม้ไม่ถูกสปอตไลท์ส่อง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่เขาได้รับความไว้วางใจให้สะสมจำนวนนัดของตัวเองในนามสโมสรได้เกือบ 800 นัด รวมไปถึงได้ติดทัพ “ทรี ไลออนส์”  อีก 61 นัดด้วย

มาว่ากันด้วย ฟุตบอลที่ลื่นไหล (Fluid Football) ในปัจจุบัน เรียกร้องทั้งระบบการเล่น ความสามารถเฉพาะตัว  สภาพร่างกาย และความเฉลียวฉลาดของตัวผู้เล่น พร้อมกับการที่ผู้เล่นเหล่านั้นยังคงรักษาหน้าที่และความรับผิดชอบในสนามได้ด้วย ยกตัวอย่างฟูลแบ็ค ที่มักถูกคาดหวังว่าจะต้องมีศักยภาพในเกมรุกได้ดีเท่ากับเกมรับ กองหน้าจะต้องไม่เป็นแค่หน้าเป้า แต่ต้องกลับลงไปในแผงมิดฟิลด์คู่ต่อสู้เพื่อล้วงบอลออกมาจากเส้นหลังครึ่งสนามได้ด้วย หรือแม้แต่ผู้รักษาประตู เมื่อบอลเข้าถึงเท้าแล้ว เขาจะต้องกลายเป็นนักวางบอลมืออาชีพ  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โลกฟุตบอลก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นสมัยใหม่จะไม่อาจเจิดจ้าได้เลย หากปราศจากวัวงาน เครื่องจักร ฟันเฟือง หมาล่าเนื้อ นักทำลายเกม เบ๊จิปาถะ  ซึ่งเป็นชื่อเรียกของนักเตะหนึ่งในสนาม – ผู้เล่นอรรถประโยชน์  ที่แม้ว่าจะถูกปั๊มออกมาจากแม่พิมพ์ ณ เหมืองแห่งความซบเซาเหมือนกัน ทั้งไม่มีเสน่ห์แบบที่ดาวฟุตบอลทั้งหลายต่างมี แต่ก็เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วที่มีความสามารถ “ซุปเปอร์สกิล” ขับแสงให้กับสตาร์เหล่านั้นได้เฉิดฉายสมราคา

เราพูดถึงสมรรถภาพทางกายไปแล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงอีกฟากกันบ้าง ต้องยอมรับว่าผู้เล่นอรรถประโยชน์เหล่านี้มีความแข็งแกร่งทางจิตใจ และวุฒิภาวะ ถึงขนาดที่แม้เป็นเกมในระดับอาชีพ ก็ส่งผลให้คนในทีมสามารถบุกเข้าไปในแดนคู่ต่อสู้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเจาะแผงหลัง เป็นสิทธิพิเศษที่ได้รับมาพร้อมกับความรับผิดชอบโดยแท้จริง  เช่นนี้แล้วใบบทความของ Jon Townsend เขาจึงให้ความเห็นว่า “ความมีภาวะผู้นำ” สมควรเป็นมาตรวัดและตัวอย่างเชิงบวกที่ดี เพื่อเพิ่มความเข้ากันได้ให้แก่คนในทีม

ความมีภาวะผู้นำเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะมันประกอบไปด้วยความสามารถที่คนคนหนึ่งจะมีได้อย่างรอบด้าน ความแข็งแกร่งทนทาน สมรรถภาพทางกายที่ดี ความเฉลียวฉลาด รวมถึงความเป็นผู้เล่นนักประสาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถวัดค่าได้ จึงเกิดข้อโต้แย้งขึ้นว่า ผู้เล่นอย่างเจมส์ มิลเนอร์ ไม่ได้มีคุณค่ามากไปกว่านักเตะประเภทกองหน้า หรือปีก ที่มีพรสวรรค์อันร้อนแรง สไตล์การเล่นวูบวาบ และความเยือกเย็นในการตัดสินใจ

เราเห็นพร้องต้องกันว่า ไม่ขอเถียงว่าความวูบวาบ สกิล และพรสวรรค์ เป็นสิ่งที่สำคัญ บ่อยครั้งสกิลเหล่านั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ในการแข่งขันระหว่างแมตซ์ แต่คุณก็คงรู้ถึงความอ่อนไหวในอารมณ์ของพวกเขา เมื่อพวกเขาอารมณ์ร้อนเกินไป เขาจะอยู่ในสถานะลาวา (แตะต้องไม่ได้) แต่เมื่อพวกเขาอารมณ์เย็นเกินไป ปืนก็ฝืดและใช้งานไม่ได้ ฟอร์มตก และนั่นก็ส่งผลเป็นคำถามถึงฟอร์มการเล่น เวลาที่ได้ลงเล่น กำลังใจ และความสามารถที่นักเตะเหล่านั้นมีอยู่เช่นนั้นเอง

ดังนั้น “The Milner’s of the world” จึงควรได้รับการสรรเสริญ เพราะไม่แม้แต่ว่าเขาจะโชว์ฟอร์ม “ทำมันในค่ำคืนอันฝนพรำและหนาวเหน็บที่สโต๊ค9” ได้ แต่เขายังทำได้อย่างสบาย ๆ ด้วย10  เขาทำมันนับสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ไม่ใช่ต่อเนื่องกันแค่เพียงปีเดียว แต่ยาวนานเป็นทศวรรษ นี่คือยี่สิบปีที่มิลเนอร์ทำในระหว่างเล่นอยู่ในระดับสูงสุด และเขาทำให้ทีม รวมถึงผู้จัดการทีมได้เห็น ก่อนที่เขาจะได้รับการตอบแทนเสียอีก

9เรื่องนี้มาจากวาทะของ แอนดี้ เกรย์ กลายเป็นตำนานที่รอการพิสูจน์ว่า ถ้าลิโอเนล เมสซี่ ได้แข่งกับสโต๊ค ซิตี้ ท่ามกลางค่ำคืนอันฝนพรำและหนาวเหน็บ ณ บริทานเนีย สเตเดี้ยม ลิโอเนล เมสซี่ จะโชว์ฟอร์มได้สุดยอดเหมือนที่ทำไว้กับบาร์เซโลน่าหรือไม่

10เรื่องนี้ไม่เกินจริง เพราะมิลเนอร์เคยพบกับสโต๊ค ซิตี้ มาแล้ว 20 ครั้ง มิลเนอร์ชนะ 13 และเสมอ 7 ครั้ง ทำ 2 ประตู และ 9 แอสซิสต์ เหลือเชื่อกว่าคือไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะอยู่กับสโมสรใด

เจมส์ มีลเนอร์

แต่ผู้เล่นสมัยใหม่ก็ไม่ได้มีแปดมือ รวมถึงตัดสินใจไม่เก่งในบางเรื่อง ความไม่แน่ใจของการตัดสินใจและหาสิ่งที่ควรทำในระหว่างเกม เพราะสิ่งนี้เราจึงต้องหวังพึ่งผู้เล่นที่ทำงานหนักราวกับหุ่นยนต์

ผู้ตระหนักตน และผู้พัฒนาศักยภาพ

เมื่อหลายปีก่อน มีคลิปวีดีโอที่เคยดังอยู่ในโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นถึงเจมส์ มิลเนอร์ ผู้วางบอลเข้าถุงเก็บบอลของเด็กเก็บบอลได้อย่างตรงเป้าหมดจด แล้วก็เป็นคนเดียวกับที่พุ่งสกัดด้วยใบหน้าด้วยความไม่กลัวอันตราย เขาเดินหน้าสกัดการบุกของคู่ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่ง ไล่บอลราวหมาล่าเนื้อ ความขยันไล่บอลของเขาทำให้งานของเพื่อนร่วมทีมง่ายขึ้นมาก  แต่ก็นั่นล่ะ เพราะไม่ใช่ไฮไลท์ของเกมที่นำไปสู่การได้ประตู การเล่นอย่างอุทิศตัวของเขาจึงมักถูกมองข้าม และไม่มีแม้แต่การพูดถึง ในทางกลับกัน การที่ซุปเปอร์สตาร์อย่างเนย์มาร์ (กองหน้าชาวบราซิล ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรปารีส แซง แชร์กแม็ง) โชว์ศักยภาพที่เขามีอย่างเต็มที่ เรื่อยไปจนถึงการสกัดบอลหน้าปากประตูของตัวเองในจังหวะหวุดหวิดเสียประตู11 ไม่ว่ามันจะเป็นเวลาสั้นๆ เพียง 90 วินาที หรือ 90 นาที แสงก็มักจะฉายไปยังการเล่นเหล่านั้นเสมอ นั้นเป็นสัจธรรมอย่างนึงที่ว่าถ้าขวัญใจของมหาชนคือใคร แสงแฟลชกล้องก็มักจะเดินทางไปหาคนนั้น

11แต่ว่ากันจริง ๆ แล้ว มิลเนอร์ก็เคยมีจังหวะนั้น เขาพุ่งสุดตัวงัดบอลขึ้นคาน พาลิเวอร์พูลคว้าชัยไปได้ในนัดนั้น นับว่าเป็นช็อตที่สุดยอดครั้งหนึ่งในพรีเมียร์ลีกตลอดกาลเลยทีเดียว

มีคำกล่าวหนึ่งเกี่ยวกับฟุตบอลว่า  “นิทานพื้นบ้านของฟุตบอล ก็มักมีแชมเปี้ยนเป็นดาราทั้งนั้น” ซึ่งก็ไม่เกินจริง เพราะกีฬาชนิดนี้มีลักษณะยกระดับนักฟุตบอลที่มีฝีไม้ลายเท้าที่น่าสนใจขึ้นเป็นผู้เล่นมืออาชีพได้ และสิ่งที่จะตามมาคือ ความเป็นดารา (Stardom) เครื่องดึงดูดใจ เสน่ห์ที่มาพร้อมกับความโด่งดัง สปอนเซอร์เจ้าดัง และที่พิเศษสุด คือสิทธิพิเศษในการถูกพิจารณาจากวงการสื่อลูกหนัง และคนในวงการฟุตบอลว่าจะเป็น “เพชรเม็ดงาม” ได้นอนาคต และนั่นคือที่มาของการขึ้นเงินเดือนอย่างฮวบฮาบ (เพื่อไม่ให้หนีจากสโมสรปัจจุบันไป) ค่าตัวนักเตะที่พุ่งสูงขึ้น รวมไปถึงสิ่งที่อยู๋ในใจอย่าง “อีโก้” ในนักเตะเหล่านั้น ซึ่งคุณจอห์นเชื่อว่า  ทั้งหมดนี้ทำให้ใคร ๆ ต่างก็มองพวกเขาว่ามีประโยชน์มากเกินกว่าค่าตัวที่แท้จริง

แต่ถ้านักเตะเหล่านั้นคิดว่าชีวิตในวงการฟุตบอลเหมือนงานเลี้ยง คำว่า “คุณไม่มีวันเสียใจที่ออกจากปาร์ตี้ก่อนเวลา แต่คุณจะน้ำตานองหน้า ถ้าคุณอยู่นานเกินไป” น่าจะเตือนสติพวกเขาได้ไม่มากก็น้อย

ซึ่งมิลเนอร์ก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่หลงอยู่ในงานเลี้ยงนานเกินไป

วินัยของเขาไม่ต่างอะไรจากคนที่มีวินัยดูแลตัวเองคนอื่น ๆ เลย เขาดูแลตัวเองด้วยการเตรียมการสำหรับอาหาร การฟิตร่างกาย รวมทั้งหาเวลาศึกษาคู่ต่อสู้ และระบบอันหลากหลายที่ฝ่ายตรงข้ามอาจได้รับมา เพื่อหาทางเผชิญหน้า (Dealing) นับสัปดาห์ต่อสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามิลเนอร์จะเป็นจิปาถะแมนผู้โดดเด่นในอังกฤษ หรือจริง ๆ ก็อาจในโลกเลย แต่ท่านก็อาจได้เห็นบางผู้เล่นที่ย้ายมาเล่นตำแหน่งเดียวกับมิลเนอร์ แล้วมาเฉิดฉายตอนแก่เหมือนกัน สิ่งนั้นทำได้และไม่ใช่เคล็ดลับอะไรเลย

เพราะมันคือ “การพัฒนาศักยภาพของนักฟุตบอล”

แน่ล่ะ การพัฒนาศักยภาพของนักฟุตบอลมันเป็นเรื่องยากและต้องใช้วินัย แต่โลกนี้ก็มีข้อยกเว้น มีคนบางจำพวกที่ไม่ต้องเตรียมการอะไรมาก แต่ก็ยังมีสมรรถภาพทางกาย รวมถึงศักยภาพด้านอื่น ๆ เหนือกว่านักฟุตบอลทั่วไปมาก เช่น คริสเตียโน โรนัลโด้ ลิโอเนล เมสซี่ หรือแม้แต่ หลุยส์ ซัวเรซ “กาลาคติกอส” วัยเข้าเลขสามไม่หนีกับมิลเนอร์ เหล่านี้ แม้ไม่ฝึกซ้อมสักระยะหนึ่ง เขาก็ยังทิ้งทุกคนห่างออกไปอย่างน้อย 1-2 ชั้นเสมอ

แต่คำถามคือ ชีวิตนี้คุณเจอนักเตะที่สุดยอดขนาดนั้นมาแล้วกี่คน ?

เจมส์ มีลเนอร์

ในทุกเกมฟุตบอลมีคนสองประเภทเสมอ คือหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญ และสอง คือมดงาน

อิทธิพลของมีดพับสวิสในการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาผู้เล่น

เหมือนกับรถที่วิ่งได้ในทุกสภาพพื้นถนน ในฐานะโค้ช มันคงดีไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ ที่เราจะมีคนที่ส่งลงแล้วเล่นได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นต่อ หรือเป็นรอง คนที่เหมือนกับเขาไม่สนใจในเรื่องระบบ (หมายถึงว่า เชื่อในระบบการเล่นน้อยไปกว่าสิ่งที่จะต้องลงไปทำในสนาม) การที่เราต้องการคนคนหนึ่งเข้ามาเติมในตำแหน่ง เพื่อปรับตัวให้เข้ากับเกมของคู่ต่อสู้ เชื่อมเกมทั้งสนามให้เข้ากับเขาดังเขาเป็นอแด็ปเตอร์สารพัดนึก ทั้งเป็นสะพานที่ตัดผ่านระหว่างความขัดแย้งกับระเบียบได้แบบนั้น ผู้เล่นอรรถประโยชน์อย่างเจมส์ มิลเนอร์ จึงเป็นคำตอบที่แท้จริงในสถานการณ์แบบนี้

บางทีแล้ว สิ่งที่ทำให้ฟุตบอลมีความพิเศษไม่น้อย ก็อาจจะเป็นการที่คน ๆ หนึ่ง ทำหน้าที่ของตัวเองได้สุดความสามารถตามคำสั่ง ดังเช่นที่ผู้เล่นอรรถประโยชน์ได้ทำมาก็ได้ 

ใครก็ตามที่เคยเป็นนักฟุตบอล หรือเคยศึกษาเกมระดับอาชีพ และสังเกตว่านักฟุตบอลดูแลตัวเองอย่างไร จะรู้ได้ว่า วันแขวนสตั๊ดมีอยู่จริง และมันอาจมาไวกว่าที่คิด เพราะอายุของการค้าแข้งมีปัจจัยทั้งในด้านสถานการณ์ และปัจจัยผันแปรอย่างอื่นด้วย นักเตะจึงตั้งเป้าคงสมรรถภาพทางกายไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อชะลอการมาเยือนของหัตถ์แห่งเทพเจ้าแห่งกาลเวลาอย่างสุดความสามารถ และสิ่งที่เป็นผลจากความกลัวหัตถ์เทพเจ้า ก็คือนักเตะอรรถประโยชน์มืออาชีพที่สมบูรณ์ เหล่านี้

คนที่ใช้เวลา 10 นาที หรือแม้แต่ทั้งเกมเพื่อเซิ้งแข้ง และเชื่อได้ถึงความมีประสิทธิภาพของเขา ที่จะทำหน้าที่ได้อย่างอรรถประโยชน์สมชื่อ แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดในสนามมากมาย ก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างพิเศษ แม้จะน่าเศร้าที่แสงไฟไม่เคยไปตกกระทบพวกเขา คนเหล่านี้ได้ขึ้นพาดหัวน้อยมาก และมักไม่ได้โบนัสจากการชนะเกม (เพราะถูกส่งไปแก้เกมที่มักจะเกือบพัง หรือพังแล้วอยู่บ่อย ๆ) หรือรางวัลส่วนตัว (ที่เกี่ยวข้องกับการยิงประตู หรือแอสซิสต์) เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จ ก็คือแนวทางแบบเบ็ดเสร็จในด้านโภชนาการ การปรับสภาพร่างกายและจิตใจ การศึกษาเกม ความสัมพันธ์กับความต้องการของผู้จัดการทีมและเพื่อนร่วมทีม และความสามารถในการพัฒนารูปแบบการเล่นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทีมมากที่สุด

จากจุดนี้ ผู้เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอลจึงทราบดีว่า ไม่ใช่ถ่านทุกก้อนที่จะกลายเป็นเพชร ดังนั้น แทนที่เราจะหาเพชรจากถ่านหินที่ถูกบดแล้วนับพันชิ้น ความคิดที่ดีกว่าคือการยอมรับวิทยาศาสตร์แห่งความไม่สมบูรณ์นี้เสีย ด้วยการพัฒนาผู้เล่นที่เป็นถ่านหินเหล่านี้ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ทำไมเราอยากจะผลิตเพชร? ในเมื่อถ่านต่างหากที่เป็นเชื้อเพลิงได้ แม้อาจไม่ใช่ถ่านคุณภาพดีที่ส่องสว่างและจุดไฟติดลุกโชติช่วง แต่ถ่านก็เผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า

ในอีกแง่มุมหนึ่ง ด้วยความเป็นนักอรรถประโยชน์ พวกเขาจึงได้ค้นพบ “กฎแห่งการปรับตัว” กฎดังกล่าวแสดงให้เราเห็นว่า คน ๆ หนึ่งต้องปรับเปลี่ยนสปีด ปริมาณ (ปริมาณการวิ่ง) และผีเท้าของตน เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ำไปกว่า หรือด้อยกว่าเพื่อนร่วมทีม แข้งเบ๊จิปาถะเหล่านี้เข้าใจกฎข้อนี้ดี และค้าแข้งบนสังเวียนหญ้าด้วยวิธีการนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ทีมไหน หรือใครเป็นผู้จัดการทีม แข้งเหล่านี้ทำมากกว่าวางแผนและทำงานของตัวเอง แต่เข้าใจและพัฒนาไปพร้อมกับเกมที่เกิดขึ้น และทำหน้าที่เป็นค่าคงที่ในสมการของการแข่งฟุตบอลไปด้วย

ในฐานะของ Jon Townsend ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า สุดท้ายแล้วเรามักจะตกอยู่กับสองความคิดที่เกี่ยวกับฟุตบอล และคุณลักษณะที่จำเป็น ว่าแท้จริงแล้วนักฟุตบอลที่ดีในสนาม จะต้องมีอะไรบ้าง แต่ข้อสรุปก็คือ ในทุกเกมฟุตบอลมีคนสองประเภทเสมอ คือหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญ และสอง คือมดงาน

ผู้คนมักชอบดูผู้เชี่ยวชาญแสดงศักยภาพของตัวเองที่มีในสนาม ใช้สอยทรัพยากรและผลิตผลงานที่ดีออกมา นั่นแหละครับความบันเทิง ความบันเทิงที่ผู้ซื้อตั๋วใฝ่ฝันอยากได้เห็นในทุกครั้ง และส่งความปรารถนาของตัวเองออกมาผ่านเสียงร้องตะโกน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการทำภาระหน้าที่แทนของมดงาน พวกมีดพับสวิส12 นี่แหละ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฟุตบอลสมัยใหม่จะทำให้เรามีประวัติในเกมว่า สิ่งใดเกิดขึ้น มีแนวโน้มมุ่งหน้าไปในทิศทางไหน แต่ทุกทีมก็มีแพลนที่จะผลิตแต่ผู้เชี่ยวชาญมันทั้ง 11 ตำแหน่ง แล้วก้มหน้าก้มตาจำปรัชญากับระบบการเล่นเพื่อออกไปเอาชนะ (Jon Townsend พูดเรื่องนี้เป็นรอบที่สี่แล้ว) ก็เลยทำให้นักมาราธอน และนักเจียระไนเพชร (ก็คือนักเตะอรรถประโยชน์นั่นละ) ถูกประเมินค่าต่ำเกินไปกว่าความเป็นจริง แม้โลกนี้จะมีคนเล่นเปียโน แต่คนเล่นเปียโนก็ไม่แบกเปียโนเอง นี่คือการแบ่งงานกันทำ ซึ่งเหมือนกันกับฟุตบอล ที่ทุกทีมต่างมีนักเตะระดับมดงานเพื่อคอยเก็บกวาดงานธรรมดา ๆ ให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถทำงานที่ตนถนัด และมีความพิเศษขึ้นมาได้ การแบ่งงานกันทำนี้มีข้อดีอีกประการหนึ่ง คือผู้เชี่ยวชาญจะสามารถแสดงข่มขวัญให้คู่ต่อสู้เห็นผ่านทางฟุตบอลได้ด้วยว่า พวกเขาจะแพ้ได้ด้วยวิธีใด ในขณะที่มดงาน ผู้เชี่ยวชาญแห่งความสม่ำเสมอ และการปรับตัว ก็จะเป็นคนรับหน้าเสื่อในงานจิปาถะและสร้างสรรค์ให้เกมมีความพิเศษขึ้นมาได้

12มีดพับสวิส หรือ Swiss Army Knife คือมีดพับแบบพกพาที่รวมเครื่องมือหลายอย่างไว้รวมกัน เช่น ไขควง กรรไกร ที่เปิดขวด ที่เปิดกระป๋อง เป็นต้น เครื่องมือเหล่านั้นรวมกันอยู่ภายในด้ามจับด้วยกลไกของจุดหมุนตามจุดต่างๆ ที่สามารถเปิดออกและพับเก็บได้ ด้ามจับมีลักษณะเป็นสีแดง มีตราโล่และกากบาทที่คล้ายธงชาติของสวิสเซอร์แลนด์

ถ้าเราไม่ระวัง สโคป(สเปกตรัม) ของการพัฒนาก็จะพยายามสร้างผู้เล่นที่เก่งแค่เพียงด้านหนึ่ง หรือสองด้านเท่านั้น แทนที่จะเป็นผู้เล่นที่รอบรู้ มีความทนทาน และเป็นนักเตะอรรถประโยชน์ที่ทำให้ทีมต้นสังกัดเล่นดีขึ้น เพราะแนวโน้มของการได้มาซึ่งทักษะทั้งหลายนั้น บางทีมันก็ขัดแย้งกันเองจนหาคำตอบไม่ได้

ในปัจจุบัน ผู้เล่นอายุน้อยจะมีโค้ชอยู่ในหู (หมายถึง มีโค้ชคอยแนะนำตลอดเวลา) และวาดแผนภาพในทุกการเคลื่อนไหว มีรูปแบบในการฝึกซ้อม รวมไปถึงการตัดสินใจ สิ่งนี้ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดนะครับ เพราะเกมระดับสูงก็ต้องการผู้ที่ถูกขัดเกลามาตั้งแต่เด็ก ที่สามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่งบทบาท เช่นเอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ เจมส์ มิลเนอร์ นั่นคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเมื่อ เจมส์ มิลเนอร์ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 แล้ว เขาก็ยังเป็นคนเรียบง่าย ที่ไม่ได้น่าเบื่อ =)

CREDIT : thesefootballtimes


iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ

“Football can make a friend, can make a life”

::::: ต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา :::::

แอด LINE : @803toskz หรือคลิกลิงค์นี้ http://nav.cx/omAqg0Q