เป็นเวลายาวนานนับตั้งแต่ปี 2011 ที่ทีมดังจากตูรินอย่างม้าลาย ยูเวนตุส ได้ครองความยิ่งใหญ่ ผูกขาดแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อยู่เพียงทีมเดียว เรียกได้ว่าแทบไม่มีทีมไหนสามารถต่อกรกับพวกเขาได้เลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปแบบการบริหารจัดการทีม แผนการเล่น รวมถึงคุณภาพนักเตะโดยรวมของทีม ซึ่งแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับทีมอื่นในลีกเดียวกัน ถึงแม้ว่าในช่วงหลังอาจพอเห็นได้ว่ามีทีมอย่างนาโปลี โรม่า หรือ อตาลันต้า ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์สคูเด็ตโต้ในบางปี แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ หรือ 2 ยักษ์ใหญ่เจ้าเก่าของลีกนี้จากเมืองมิลานก็ไม่เคยเลยแม้แต่เฉียด

จนกระทั้ง…ในฤดูกาล 2019/2020 หนึ่งในยักษ์ใหญ่จากมิลานก็เริ่มแสดงศักยภาพให้เห็นด้วยการกระตุกหนวดม้าลาย ใช่แล้ว! งูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน ภายใต้การกุมบังเหียนของคอนเต้ สร้างปรากฏการณ์โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดตลอดทั้งซีซั่น เบียดแย่งแชมป์กับยูเวนตุสอย่างดุเดือด ถึงสุดท้ายแล้วพวกเขาจะพ่ายต่อยูเว่ฯ โดยถูกเฉือนไปเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น แต่นั่นก็เหมือนเป็นการประกาศก้องให้หลายๆ ทีมในเซเรีย อา รู้ว่า พวกเขานี่แหละจะเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งที่จะมาพรากแชมป์สคูเด็ตโต้ไปจากยูเวนตุสในอีกไม่นาน

และเพียงแค่ฤดูกาลถัดมาเท่านั้นในปี 2021 นี่เอง อินเตอร์ มิลาน ก็ได้ผงาดคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ได้อย่างยิ่งใหญ่ เป็นการคว้าแชมป์ลีกอิตาลีสมัยที่ 19 ของสโมสร และเป็นครั้งแรกในรอบถึง 11 ปีทีเดียว!

อะไรที่เป็นปัจจัยหรือจุดเปลี่ยน?! ที่ทำให้ทีมที่ได้ชื่อว่าเป็นทีมยักษ์หลับอย่างอินเตอร์ มิลานกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง เราจะไปดูกัน

 

 

การมาของชายที่ชื่อ อันโตนิโอ คอนเต้

ที่มารูป: jagoal.com

นับตั้งแต่ที่อินเตอร์ มิลานภายใต้การนำทัพของ เดอะ สเปเชียลวัน โชเซ มูรินโญ่ ที่พาทีมผงาดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาล 2009-2010 และอำลาทีมไปนั้น มีผู้จัดการทีมมากหน้าหลายตาด้วยกันที่เขามาแวะเวียนสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้จัดการทีมในถิ่นซานซีโร แต่ก็ไม่มีใครพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ได้เลย พวกเขาเคยย่ำแย่ถึงขนาดจบแค่อันดับ 9 ในลีกรวมถึงห่างหายจากการเล่นแชมป์เปี้ยนลีคนานถึง 6 ปีด้วยกัน

จากความสำเร็จที่เทรนเนอร์ชาวอิตาลี อย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ ทำไว้กับเชลซี ทำให้อินเตอร์มิลานจัดการดึงเขาเข้ามาคุมบังเหียนทันทีในปี 2019 หลังจากที่เขาเข้ามาร่วมทีม เจ้าตัวได้จัดการติดตั้งระบบ หลัง 3 ให้กับทีมทันที ซึ่งเป็นระบบที่เขาชื่นชอบและใช้มาตั้งแต่สมัยคุมทีมม้าลายยูเวนตุส จนมาถึงเชลซี  แต่สิ่งที่แตกต่างจากสมัยคุมทีมสิงห์บลูก็คือแผงกลางที่คอนเต้เลือกใช้ ถึง 5 ตัว เป็นแผงมิดฟิลด์ 3 ตัว ขนาบไปด้วยวิงแบ็คทั้ง 2 ข้าง และใช้หน้าเป้า 2 ตัว

ที่มารูป: themastermindsite.com

 

การมาของคอนเต้นั้นช่วยยกระดับเกมรับของทีมเป็นอย่างมาก จากระบบ 3-5-2 ที่มีปราการหลังสุดแกร่ง 3 คน คอยปักหลักคอยปัดเป่าเกมรุกอยู่หน้าผู้รักษาประตู รวมถึงมีวิงแบ็คอีก 2 คนช่วยเล่นเกมรับ ทำให้ทีมเปรียบเสมือนมีกองหลังถึง 5 คน ทำให้เกมรับของทีมงูใหญ่เสียประตูยากขึ้น และจากที่คอนเต้เป็นกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ทีมอินเตอร์มิลานกลายเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกทั้ง 2 ฤดูกาลที่คอนเต้เข้ามาคุมบังเหียน

ที่มารูป: sportsmole.co.uk

 



 

แน่นอนว่าถ้าจะก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีก เกมรับที่ดีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ คุณต้องมีเกมรุกที่เฉียบคมที่พร้อมที่จะทำประตูได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ว่าคอนเต้นั้นจะเป็นกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับ แต่ในด้านของเกมรุกแล้วเขานั้นเป็นคนนึงที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถดึงศักยภาพของนักเตะในแนวรุกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เขาพาทีมม้าลายได้แชมป์ลีก 3 สมัยติด นักเตะในตำแหน่งแนวรุกของคอนเต้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีชื่อของแนวรุกระดับโลกติดอยู่ในทีมเลย ใน 2 ปีแรกที่คว้าแชมป์นั้นนักเตะที่เป็นดาวซัลโวของทีมคือ อเลสซานโดร มาตรี และเปลี่ยนมาเป็น อาตูโร่ วิดัล ในปีถัดมา ก่อนที่ฤดูกาลสุดท้ายของกุนซือชาวอิตาลีกับทีมม้าลายนั้น จะมีดาวซัลโวอย่างคาร์ลอส เตเบซ กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ ที่เข้าข่ายจะเรียกได้ว่าเป็นนักเตะแนวรุกระดับโลกที่สุด ยังไม่รวมถึง เฟอร์นานโด ยอเรนเต้ รองดาวซัลโวของทีม หรือจะเป็น ปอล ป็อกบา นักเตะที่คอนเต้สามารถดึงศักยภาพและแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับผลงานแอสซิสต์มากที่สุดในทีมฤดูกาลนั้น

กลับมาที่อินเตอร์ มิลาน นักเตะแนวรุกที่โชว์ฟอร์มได้สุดยอดและเป็นกำลังหลักสำคัญภายใต้การนำทัพของคอนเต้นั่นก็คือ โรเมลู ลูกากู และ เลาตาโร มาร์ติเนซ คู่หูดาวยิงต่างทวีปสุดร้อนแรงที่จับคู่กันได้อย่างเข้าขาและโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมตลอด โดยตลอด 2 ฤดูกาลที่เล่นร่วมกันนั้น พวกเขามีส่วนร่วมกับประตูไปทั้งสิ้น 131 ประตู แบ่งเป็น 99 ประตู กับอีก 32 แอสซิสต์ รวมทุกถ้วยทุกรายการที่ลงเล่น

ที่มารูป: inter.it

 

ซึ่งต้องยกเครดิตตรงส่วนนี้ให้กับ คอนเต้ เช่นกัน ที่สามารดึงศักยภาพของนักเตะออกมาได้อย่างดีและทำให้นักเตะที่ได้เล่นร่วมกันเพียงแค่ฤดูกาลแรกเท่านั้น ช่วยกันถล่มประตูจนพาอินเตอร์ มิลานเกือบจะคว้าถึง 2 แชมป์เมื่อฤดูกาล 2019/20 ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะอกหักชวดแชมป์ทั้ง 2 ถ้วย แต่ก็ทำให้ชื่อของ ลูกากู และ มาร์ติเนซ โด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่พวกเขาจะช่วยกันถล่มประตูจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จในฤดูกาลนี้

ที่มารูป: sportsmole.co.uk

จำนวนการยิงประตูทั้ง 2 ฤดูกาลของอินเตอร์ มิลาน ภายใต้การนำทัพของ อันโตนิโอ คอนเต้ ซึ่งจากทั้งหมด 155 ประตูที่ทำได้ มาจากลูกากู และ มาร์ติเนซ ถึง 73 ประตูด้วยกัน

 

 

ลูกากูเอฟเฟค! นักเตะผู้จุดประกายความหวังให้ อินเตอร์ มิลาน

อินเตอร์ มิลาน

 



 

ในช่วงแรกที่คอนเต้ เข้ามารับหน้าที่กุนซือของอินเตอร์ มิลาน กองหน้าชาวเบลเยี่ยมถือว่าเป็นนักเตะรายแรกๆ ที่กุนซือชาวอิตาลีเซ็นสัญญามาร่วมทีม จริงๆ แล้วเมื่อปี 2017 คอนเต้เคยพยายามจะดึงลูกากูมาร่วมงานกันที่เชลซีแล้ว แต่ก็พลาด ลูกากูเลือกที่จะเซ็นสัญญาให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแทนในเวลานั้น

ซึ่งนับตั้งแต่วันที่กองหน้าร่างยักษ์ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาร่วมทัพงูใหญ่ อินเตอร์มิลานด้วยค่าตัว 80 ล้านยูโร เจ้าตัวก็โชว์ผลงานที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ ยืนยันด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทีมรวมฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกันไปแล้ว สถาปนาตัวเองเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของลีกอิตาลีในที่สุด

ผมยังไม่ลืมที่มีคนจำนวนมากไม่ยอมรับ เมื่อตอนที่เราเซ็น ลูกากู เข้าร่วมทีม และบอกว่าเขาถูกยกย่องเกินจริง แต่ผมมักจะพูดเสมอว่า เขามาที่นี่เพราะมีศักยภาพ และถ้าเขาทำงานหนักเขาจะสามารถทำสิ่งที่พิเศษได้ เขาเป็นผู้เล่นที่พัฒนาได้อย่างยอดเยี่ยม และสามารถดีกว่านี้ได้อีก คอนเต้กล่าวถึงลูกทีมของเขา

ลูกากู ยิงไป 21 ประตูในลีกฤดูกาลนี้ ขึ้นเป็นดาวซัลโวของทีม และเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้การผูกขาดแชมป์ของยูเวนตุสยาวนานถึง 9 ปีสิ้นสุดลง โดยแชมป์ในครั้งนี้ถือว่าเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกของเจ้าตัวนับตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชนให้กับอันเดอร์เลชท์ ทีมดังในลีกเบลเยี่ยมบ้านเกิด และยังเป็นการลบคำสบประมาทที่ลูกากูได้รับอย่างมากมาย สมัยที่ค้าแข้งอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกด้วย

สถิติเผยให้เห็นความสำคัญของ โรเมลู ลูกากู ที่เป็นส่วนสำคัญที่พาอินเตอร์ มิลานคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้

ที่มารูป: skysports.com

 

 

การเสริมที่ยอดเยี่ยม ตรงจุดและใช้ได้จริง

ในฤดูกาลนี้อินเตอร์ มิลาน ใช้งบเสริมนักเตะเป็นจำนวนถึง 105.7 ล้านยูโร โดยตัวหลักๆ มี อัชราฟ ฮาคิมี แบ็กดาวรุ่งอนาคตไกลของเรอัล มาดริด ที่ถูกปล่อยไปยืมตัวกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถึง 2 ปี ก่อนที่จะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดในฤดูกาลที่ผ่านมา จนไปเข้าตาของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ตัดสินใจคว้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัวสูงถึง 40 ล้านยูโร ตามมาด้วย 3 นักเตะอย่าง นิโกโล่ บาเรลล่า, สเตฟาโน่ เซนซี่ และ อเล็กซิส ซานเชซ ที่ถูกยืมตัวเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาก่อนจะซื้อขาดมาร่วมทีมในฤดูกาลนี้ และอีก 2 แข้งจอมเก่าอย่าง อเล็กซานเดอร์ โครารอฟ  แล อาร์ตูโร่ วิดัล ยังมีในรายของ อิวาน เปริซิช ที่กลับมาร่วมทีมหลังจากโดนปล่อยไปร่วมทีมกับบาเยิร์น มิวนิค ด้วยสัญญายืมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

โดยนักเตะที่คอนเต้คว้ามาร่วมทีมล้วนเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงและยังโชว์ฟอร์มได้ดีเมื่อซีซั่นผ่านมา มีทั้งนักเตะอายุน้อยร่วมกับผู้เล่นมากประสบการณ์ที่จะมาช่วยเพิ่มขุมกำลังในการไล่ล่าคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ในฤดูกาลนี้

ที่มารูป: transfermarkt.com

 

จากสถิติข้างบนเราจะเห็นได้ว่า 11 นักเตะที่ได้รับโอกาสลงเล่นมากที่สุด มีถึง 3 คนที่คอนเต้ตัดสินใจคว้ามาร่วมทีม เพื่อมาเป็นตัวหลักในการไล่ล่าแชมป์และยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการยิงรวมกันถึง 15 ประตู ยังไม่รวมในรายของเปริซิชที่กลับมาจากสัญญายืมตัวและกลายเป็น 1 ในนักเตะที่ได้รับโอกาสลงเล่นมากที่สุดในฤดูกาลนี้

 

 

การมาของกลุ่มนายทุนซูหนิง

เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับอินเตอร์ มิลาน เมื่อ ซูหนิง กรุ๊ป บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนประกาศ เทคโอเวอร์ ทีมดังจากเมืองมิลาน ถือหุ้นของสโมสรมากถึง 68.55% ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทีมงูใหญ่กลายเป็น 1 ในทีมเงินถัง มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากมายในการซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เจา มาริโอ , กาเบรียล บาร์โบซ่า , อันโตนิโอ คันเดรวา, มิลาน สคริเนียร์ , อเลสซานโดร บาสโตนี่ หรือ รัดย่า นาอิงโกลัน เป็นต้น ซึ่งนักเตะที่ว่ามาล้วนเป็นนักเตะที่อินเตอร์ มิลานคว้ามาร่วมทีมด้วยเม็ดเงินมหาศาลทั้งสิ้น

ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจะมาเกิดในปี 2018 เมื่อซูหนิง กรุ๊ป ได้ประกาศแต่งตั้งทายาทของบริษัทอย่าง สตีเว่น จาง ขึ้นเป็นประธานสโมสรคนใหม่ แทนที่ของเอริก โธเฮียร์ มหาเศรษฐีชาวอินโดนีเซีย ที่รับหน้าที่มายาวนานถึง 5 ปี

 



 

หลังจาก 1 ปีที่รับตำแหน่ง สตีเว่น จาง ก็ได้พาสโมสรเริ่มต้นเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ด้วยการทุ่มงบมหาศาลเพื่อคว้าตัวอันโตนิโอ คอนเต้เข้ามารับตำแหน่งกุนซือ โดยสโมสรจ่ายเงินเป็นค่าจ้างให้กับยอดโค้ชชาวอิตาลีมากถึง 12 ล้านยูโรต่อปี  กลายเป็นกุนซือที่รับค่าจ้างสูงที่สุดในเซเรียอาปัจจุบัน ก่อนที่คอนเต้จะพาอินเตอร์ มิลานกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งใน 1 ปีถัดมา

หลังจากที่ถ้วยแชมป์สคูเด็ตโต้ได้ปักหลักอยู่ที่เมืองตูรินยาวนานถึง 9 ปีเต็มด้วยกัน มันก็ถึงเวลาที่ถ้วยแชมป์จะกลับมาสู่ เมืองมิลานในอ้อมแขนของสาวกเนรัซซูรี่อีกครั้ง 

 

อินเตอร์ มิลาน

 

 


iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ

“Football can make a friend, can make a life”

::::: ต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา :::::

แอด LINE : @803toskz หรือคลิกลิงค์นี้ http://nav.cx/omAqg0Q