ฟุตบอลลีกของแต่ประเทศต่างมีเหล่าทีมบิ๊กเนมคอยยืนตระหง่านขวางทางแชมป์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานสร้างบารมีจนนักเตะดี ๆ พร้อมที่จะเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ หรือฮิต ๆ หน่อยในช่วงหลังก็มักจะเป็นทีมเงินถุงเงินถังที่เจ้าของทีมพร้อมทุ่มไม่อั้นอัดเงินเพื่อสร้างความสำเร็จจนกระทั่งไต่เต้าก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากถ้าคิดจะคว้าแชมป์เหนือพวกเขาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทีมคุณไม่ได้สร้างอาณาจักรมานานนมหรือมีวาสนาได้เจ้าของทีมที่ร่ำรวยอู้ฟู่มาอุ้มชูสโมสร
แต่อย่างว่าล่ะครับ “Impossible is nothing” กล่าวเป็นไทยเท่ ๆ ได้ว่า “ไม่มีอะไรเป็นไปไมได้” สโลแกนช่วงนึงที่ค่ายสามขีด “อาดิดาส” นำมาปัดฝุ่นใหม่ใช้ให้กำลังใจทุกคนที่กำลังต่อสู้อยู่ไม่ว่ากับอะไรก็ตาม ยิ่งเป็นเรื่องของฟุตบอลแล้วมันก็ยิ่งอินสุด ๆ หากคุณเป็นคนนึงที่รักในเกมลูกหนังนี้
ใช่แล้วครับ! วันนี้เราจะพาแฟนบอลทุกท่านไปพบกับเหล่ายอดทีม “ม้ามืด” ที่อาจหาญทำสิ่งที่หลายคนคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” หรือ “เป็นไปได้ยาก” แต่พวกเขาสามารถเนรมิตรให้มันเกิดขึ้นจริงได้ ขอเชิญไปพบกับโฉมหน้าของบรรดาผู้กล้าเหล่านี้ใน “ย้อนอดีต 5 ทีมม้ามืด คว่ำยักษ์ใหญ่คว้าแชมป์ลีก”
ลาซิโอ ฤดูกาล 1999-2000
จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ม้ามืดอะไรเท่าไหร่นักสำหรับ ลาซิโอ ชุดนี้ ที่มี สเวน โกรัน อีริคสัน เป็นนายใหญ่ เพราะยุค 90’s ถือได้ว่าเป็นยุคทองของทัพ “อินทรีฟ้า-ขาว” เลยก็ว่าได้ แต่เมื่อคุณอยู่ร่วมลีกกับทีมอย่าง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, โรม่า, ปาร์ม่า หรือกระทั่ง ฟิออเรนติน่า การต้องฝ่าด่านเหล่านี้รวมถึงฉีกหน้า ยูเว่ฯ และ มิลาน 2 ยักษ์ใหญ่ของลีก เราก็นับว่าเข้าข่ายม้ามืดด้วยเช่นกัน
ความเกรียงไกรของ ลาซิโอ ในห้วงเวลานั้นถือว่าอหังการเอาเรื่อง ฟาดแชมป์ติด ๆ กัน ไล่ตั้งแต่ โคปป้า อิตาเลีย (97-98) ดับเบิ้ลแชมป์ ซุปเปอร์โคปป้า & ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (98-99) แถมในปีนั้นเองเป็นซีซํ่นที่พวกเขาเข้าใกล้แชมป์ลีกมากที่สุดด้วยการจบอันดับสองเป็นรอง เอซี มิลาน แค่แต้มเดียวเท่านั้น
แต่อย่างที่บอกว่ามันคือยุคเกรียงไกรของทัพอินทรีแห่งกรุงโรมอย่างแท้จริง เพราะในปีต่อมา ซีซั่น 1999-2000 ขุนพลของ สเวน โกรัน อีริคสัน ประเดิมด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ ก่อนจะสานต่อความร้อนแรงจากปีที่แล้วด้วยทัพนักเตะพระกาฬในชุดนั้น นำโดย โรแบร์โต้ มันชินี่, มาร์เซโล่ ซาลาส, พาเวล เนดเวด, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน, ดิเอโก้ ซิเมโอเน่, แซร์โจ้ คอนไซเซา, ซินิซ่า มิไฮโลวิช และปราการหลังแข้งลูกหม้อกัปตันทีม อเลสซานโดร เนสต้า รวมกันแล้วเป็นทีมที่แข็งแกร่งเอาเรื่องเลยในยุคนั้น
มิสเตอร์สเวน ได้พา ลาซิโอ ชุดนี้เถลิงบัลลังก์แชมป์เหนือ ยูเวนตุส ด้วยการมี 70 คะแนน เฉือนทัพเบียงโคเนรี่เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น แถมนอกจากคว้าแชมป์ลีกในรอบ 26 ปี ของสโมสรแล้วพวกเขายังจบฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย เพิ่มอีกหนึ่ง กวาดเทรบเบิลแชมป์เป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร
บาเลนเซีย ฤดูกาล 2001-2002
อาจมีแฟนบอลบางท่านแย้งว่า “ไอค้างคาว” แก๊งนี้ไม่น่าเข้าข่ายม้ามืดเสียเท่าไหร่ เพราะจริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นสามารถเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกได้ถึง 2 ปีติดต่อกันด้วยฝีมือของ เอคตอร์ กูเปร์ แต่หากเรามองถึงลีกที่มี เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า เป็นขาใหญ่ แถมยังมี เดปอร์ติโบ ลาคอรุนญ่า ทีมฟอร์มแรงในช่วงนั้นแถมอันดับในลีกของลูกทีม กูเปร์ ยังจบแค่อันดับ 5 เป็นเหตุให้เขาถูกแทนที่โดย ราฟาเอล เบนิเตซ และการเปลี่ยนแปลงนี้เองกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวครั้งยิ่งใหญ่ซะอย่างนั้น
บาเลนเซีย ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เอล ราฟา” มาในสไตล์เน้นผลการแข่งขัน รับแน่นไว้ก่อนแล้วค่อยปล่อยหมัดน็อคด้วยการสวนกลับ โดยขุนพลชุดนั้นสลับสับเปลี่ยนกันได้เป็นอย่างดี นำทีมโดยแข้งตัวหลักอย่าง ฮวน ปาโบล ไอมาร์, รูเบน บาราฆา, ดาวิด อัลเบลด้า, โรแบร์โต้ อยาล่า, ฟรานซิสโก้ รูเฟเต้, คิลี่ กอนซาเลส, คาร์ลอส มาเชน่า, ซานติอาโก้ คาญิซาเรส, ยอน คาริว
อีกทั้งเหล่าตัวสำรองที่พร้อมโรเตชั่นตามสไตล์ ราฟา เบนิเตซ อาทิ มิเกล อังเกล มิสต้า, มิเชล อังกูโล่, ซัลบา บาเญสต้า และดาวรุ่ง บิเซนเต้ โรดริเกซ ต่างทำผลงานได้ดีทุกคนเมื่อถูกส่งลงสนาม ทำให้ บาเลนเซีย ไม่มีอาการเหนื่อยล้าเพราะมีการหมุนเวียนผู้เล่นอยู่ตลอด โชว์ฟอร์มแรงไม่มีแผ่วเข้าป้ายคว้าแชมป์ ลา ลีกา สเปน อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี สร้างชื่อให้ ราฟา เบนิเตซ มาจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ราฟา เบนิเตซ ยังอาจหาญพาไอค้างคาวก้าวไปถึงจุดสูงสุดในฤดูกาล 2003-2004 คราวนี้นอกจากจะพาทีมหักคว้าแชมป์ลา ลีกา แล้วเขายังสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ได้อีกด้วย ถือเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์สร้างสุดยอดประวัติศาสตร์ให้กับทีมดังแห่งถิ่นเมสตาญ่ามาจนจวบปัจจุบัน
สตุ๊ตการ์ท ฤดูกาล 2006-2007
ใครที่เป็นแฟน ๆ บุนเดสลีกาหรือแม้กระทั่งแฟนบอลทั่วไปก็น่าจะรู้กันดีว่า บาเยิร์น มิวนิค คือ ขาใหญ่แห่งลีกเยอรมนีและยิ่งกับลีกที่ห้ามให้นักธุรกิจและมหาเศรษฐีทั้งหลายมาทุ่มซื้อสโมสรแล้วด้วยล่ะก็ การจะคว้าแชมป์เหนือ “เสือใต้” นับเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างมาก
แต่ต่อให้ยิ่งใหญ่มีการจัดการวางแผนดีแค่ไหนมันก็ต้องมีช่วงเวลาที่แย่กันบ้าง และในฤดูกาล 2006-2007 นี้เองเป็นปีที่ทีมดังแห่งแคว้นบาวาเรียโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนักหรอกหากไม่มีทีมฟอร์มแรงอย่าง เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ท โผล่ขึ้นมาในช่วงนั้นพอดี!
ทีม “ม้าขาว” ภายใต้การบังคับบัญชาของ อาร์มิน เฟห์ เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมขึ้นเป็นจ่าฝูงในช่วงครึ่งซีซั่น ในขณะที่ บาเยิร์น แผ่วลงทำให้ฤดูกาล 2006-07 นั้นมีการขับเคี่ยวบี้แย่งแชมป์กันอย่างสุดมันส์ นอกจาก สตุ๊ตการ์ท ยังมี ชาลเก้ กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ที่อาศัยจังหวะช่วงที่ทีมดังแห่งบาวาเรียนเป๋หมายมั่นจะคว้าแชมป์ให้ได้ในปีนี้
สุดท้ายเป็น เฟาเอฟเบ สต๊ตการ์ท ที่เล่นได้อย่างสุดยอดคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าปีนี้ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ หวดไปทั้งหมด 70 แต้ม เบียดเข้าป้ายเหนือ ชาลเก้ ที่มี 68 แต้ม ไปแบบโคตรมันส์ ทิ้งให้ บาเยิร์น อยู่อย่างเหงา ๆ ในอันดับ 4 ไม่ได้ไปเล่นแม้กระทั่งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก !
ส่วนขุนพลชุดประวัติศาสตร์ของ “ม้าขาว” ที่กลายร่างเป็น “ม้ามืด” ตัวหลัก ๆ ประกอบไปด้วย มาริโอ โกเมซ, คาเคา, โรแบร์โต ฮิลแบร์ต, ปาเวล ปาร์โด้, อันโตนิโอ ดา ซิลวา, ริคาร์โด้ โอซาริโอ, ลูโดวิช มาแญ็ง, มาติเยอ เดลปิแอร์, ติโม ฮิลเดบรันด์ แถมด้วยดาวรุ่งอย่าง ซามี เคห์ดิร่า โดย แฟร์นันโด ไมร่า เป็นกัปตันทีม และที่ขาดไม่ได้เลย คือ โธมัส ฮิทเซิ่ลสแปร์เกอร์ สิงห์อีซ้ายฟอร์มแรง ที่ตอนนี้รับหน้าที่สปอร์ตไดเรคเตอร์ให้กับทีมในปัจจุบัน
มงต์เปลลิเย่ร์ ฤดูกาล 2011-2012
ก่อนที่ ลีก เอิง ฟุตบอลดิวิชั่นสูงสุดของประเทศฝรั่งเศสจะก้าวเข้าสู่สมัยของ “หอไอเฟลเคลือบทองฝังเพชร” ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ยุคอู้ฟู่ที่มีกลุ่มทุนอภิมหาเศรษฐีกาตาร์เข้ามายกระดับทีม ก็เคยมี โอลิมปิก ลียง ที่สร้างไดนาสตี้ของตัวเองด้วยการคว้าแชมป์ลีกถึง 7 ปีติดกัน!
ฤดูกาล 2011-2012 เป็นช่วงที่ ลียง นั้นเริ่มต้องถ่ายเลือดแล้ว ส่วน เปเอสเช ก็เพิ่งจะถูกหวยเป็นซีซั่นแรก กว้านซื้อนักเตะดัง ๆ มาร่วมทัพมากมาย อาทิ ฮาเวียร์ ปาสตอเร่, ติอาโก้ ม็อตต้า, เฌเรมี่ เมเนซ, แบลส มาตุยดี้, เกแว็ง กาไมโร่, อเล็กซ์ และสตาร์ลีกเอิงอีกมากหน้าหลายตา ภายใต้กุนซือ อ็องตวน ก็องบูอาเร่ และก็เป็นไปตามคาดเมื่อพวกเขาไล่ยิงคู่แข่งชนิดว่าคนละตีนก่อนจบครึ่งซีซั่นด้วยการเป็นอันดับ 1 แบบไม่ระบมหัวแม่โป้ง
แต่สิ่งที่เซอร์ไพร้ส์ในปีนั้น คือ มงต์เปลลิเย่ร์ นั้นก็เอาฟอร์มแรงไม่เอาเรื่อง พกกระสุนบรรจุใส่ปืนเต็มกระบอกไล่ยิงสลุตเใส่ทีมร่วมลีกเช่นกัน ตามจี้ทีมเศรษฐีเมืองน้ำหอมอยู่ตลอดจนเผลอแปปเดียวห่างเพียงแค่ 3 แต้ม! ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนั้น เปเอสเช ได้มองว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามแล้วหรือยังเพราะตอนเผชิญหน้ากันในเกมที่ 8 ทีมดังเมืองปารีสยังบุกไปอัด มงต์เปลลิเย่ร์ 3 ประตูต่อ 0 แบบสบาย ๆ อยู่เลย
ทัพนักเตะตัวหลักของ มงต์เปลลิเยร์ ภายใต้บังคับบัญชา เรเน่ ชิราร์ กุนซือคนเก่ง ก็มี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, ยูเนส เบลอ็องด้า, ยอน ยูกาต้า, เรมี่ กาเบลล่า, ซิลแว็ง มาร์กโวซ์ และ มาปู ย็องก้า-เอ็มบีว่า เป็นต้น
เปเอสเช นำจ่าฝูงมาอยู่เรื่อย ๆ โดยมี มงต์เปลลิเย่ร์ ที่ก็กัดไม่ยอมปล่อยตามมาแบบเกมต่อเกม แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึงในนัดที่ 29 เมื่อ เปเอสเช ทำได้แค่เสมอกับ บอร์กโดซ์ 1-1 ส่วน มงต์เปลลิเยร์ อาศัยจังหวะนี้เฉือนเอาชนะ แซงต์ เอเตียง 1-0 แซงขึ้นไปอยู่บนบัลลังก์ ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีกเพียง 9 เกม
สุดท้ายเป็น มงต์เปลลิเย่ร์ ที่ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือ โชว์ฟอร์มสุดยอด ชนะ 7 จาก 9 เกมที่เหลือ กวาด 82 แต้ม เหนือ เปเอสเช ที่มี 79 แต้ม คว้าแชมป์ลีกครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสร ฉีกหน้ากลุ่มทุนจากกาต้าร์ที่เข้ามาปีแรกจนยับเยิน
เลสเตอร์ ฤดูกาล 2015-2016
ใครจะเชื่อว่าทีมที่เพิ่งต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นในฤดูกาลก่อนจะมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์ได้ทันทีในปีต่อมา ยิ่งกับลีกที่ขึ้นชื่อว่าโหดหินอย่าง พรีเมียร์ลีก ที่เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด มากมาย พูดตามตรงว่าแทบจะไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องเพ้อฝันแบบนี้แน่นอน
แต่ไม่ใช่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การบริหารโดย “คิงพาวเวอร์” กลุ่มทุนจากประเทศไทยของครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” ที่ไม่ได้เพียงแค่เข้ามาปรับเปลี่ยนสโมสร แต่พวกจัดการโครงสร้างใหม่ทั้งหมด รวมทั้งฝังแนวคิดใหม่ให้กับทีม ๆ นี้ จนปัจจุบันสื่อไทยให้ฉายาใหม่ว่า “จิ้งจอกสยาม”
ฟอร์มของ เลสเตอร์ นั้นเปิดตัวได้อย่างร้อนแรง ชนะรวด 3 เกมแรกและทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากที่หลาย ๆ คนคิดว่าพวกเขาจะดร็อปลงกลับกลายเป็นว่า เลสเตอร์ นั้นกลับทำมันได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกลับเหล่ายักษ์ใหญ่หลายทีมที่ต่างนัดกันออกทะเลในปีนั้นราวกับว่าทุกอย่างนั้นถูกขีดเขียนบทมาให้กับพวกเขายังไงยังงั้น พอขึ้นจ่าฝูงในเกมที่ 12 จากนั้นมีบางช่วงที่โดน อาร์เซน่อล แซงขึ้นไป แต่พอหลังจากเกมที่ 22 เท่านั้นแหละพวกเขายิงยาวอยู่บนบัลลังก์จ่าฝูงมาตลอด แม้จะมี สเปอร์ส ที่เข้ามากดดันอยู่ช่วงหนึ่งแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหยุดยั้งพวกเข้าได้ รานิเอรี่ พาลูกทีมเข้าป้ายคว้าแชมป์หน้าตาเฉยชนิดว่าช็อคกันทั้งวงการ
ด้วยการเล่นที่แข็งแกร่งรวมใจเป็นหนึ่งเดียว อดทน และสวมหัวใจสิงห์ลงไปสู้ทุกนาทีบนสนาม เลสเตอร์ คว้าแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรโดยมีแต้มห่างอันดับสองอย่าง อาร์เซน่อล ถึง 10 คะแนน เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือชาวอิตาเลียน และทัพนักเตะตัวหลักอย่าง เจมี่ วาร์ดี้, ริยาด มาห์เรซ, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์, มาร์ค อัลไบรท์ตัน, แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล โรเบิร์ต ฮูท และ เเวส มอร์แกน กัปตันทีม รวมถึงนักเตะทั้งหมด ได้รับการซูฮกเป็นอย่างมากจากแฟนบอลทั่วโลก จากการผสมผสานผู้เล่นชุดนี้ให้มีฟอร์มการเล่นที่ลงตัว ยอดเยี่ยม เนรมิตรขวบปีมหัศจรรย์ให้กับชาวเมืองเลสเตอร์ได้ภาคภูมิใจตลอดไปกับโทรฟี่พรีเมียร์ใบนี้
อ่านบทความที่คล้ายกัน “5 most memorable underdog wins – 5 อันดับทีมม้ามืดพุ่งแรงที่คว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกหน้าตาเฉย” – คลิก
เป็นไงกันบ้างสำหรับ “5 ม้ามืด” จาก 5 ลีกระดับท็อปของยุโรป จริง ๆ ยังมีทั้ง เดปอร์ติโบ ลาคอรุนญ่า ปี 1999-2000, โรม่า ปี 2000-2001, โวล์ฟบวร์ก 2008-2009, ลีลล์ 2010-2011, แอตเลติโก มาดริด 2013-2014 และ โมนาโก ปี 2016-2017 ด้วย แต่เราคัดพระเอกมาเพียงลีกละทีมเท่านั้น
โดยพวกเขาเหล่านี้เป็นตัวแทนที่พิสูจน์ให้แฟนบอลทั้งหลายได้เห็นแล้วว่า หาเรายอมแพ้ ตั้งแต่ยังไม่ได้ลองสู้ เราไม่มีทางรับรู้ถึงชัยชนะได้เลย แม้จะมียักษ์ใหญ่ในลีก แต่หากทุกคนรวมพลังและมีหลาย ๆ ปัจจัยนั้นเอื้อให้กับเรา มันก็สามารถเกิดปรากฎการณ์แบบนี้ได้อยู่เสมอ แต่สิ่งสำคัญเลยคือ “ต้องพยายามก่อน” เป็นอันดับแรก จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับฟอร์มการเล่น บุญพาวาสนาส่งว่าสุดท้ายแล้วมันจะพาทีมไปถึงจุดไหน แต่ที่แน่ ๆ ถ้าไม่ลองสู้จะไม่มีทางชนะได้เลย!
iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“Football can make a friend, can make a life”
หากต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา email มาที่ ireallylikefootball@gmail.com
หรือติดต่อเราได้ที่ http://www.ireallylikefootball.com/contact