ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วนะครับ กับ ศึกชิงจ้าวยุโรป ถ้วยระดับเมเจอร์รายการสุดท้ายของซีซั่น 2017-2018 ระหว่าง ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด แชมป์ 12 สมัยและแชมป์เก่า 2 สมัยซ้อน ที่หมายมั่นจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 3 สมัยติด ต้องโคจรมาปะทะกับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ดีกรีแชมป์ยุโรป 5 สมัย แต่ห่างหายจากการเข้าชิงเจ้าถ้วยยักษ์ใบนี้ถึง 11 ปีเต็ม

วันนี้ผมจะพาแฟน ๆ IRLFB ไปพบกับ สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ ก่อนเกมสุดเดือดคืนวันเสาร์นี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มอรรถรสในการรับชมเกมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ให้ทุกท่านได้พกพาความรู้สึกความเป็น มาดริดดิสต้า และ เดอะ ค็อป ลงไปใส่ในหน้าจอทีวีอย่างเต็มที่กันเลยทีเดียว

 

 สถิติสุดบู่นัดชิงของ คล็อปป์ VS ผลงานระดับท็อปในการเข้าชิงของ เรอัล 

การได้แชมป์บอลถ้วยครั้งสุดท้ายของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องย้อนกลับไปถึงปี 2012 ที่เขาพา เสือเหลือง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หักด่าน เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ของ ยุปป์ ไฮย์เกส ก้าวไปเป็นแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล

ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นมา 5 ครั้งหลังสุดที่ คล็อปป์ พาทีมเข้าชิงชนะเลิศบอลถ้วยนั้นจบด้วยความชอกช้ำทั้งหมด! เริ่มด้วยการโดนถอนแค้นอย่างเจ็บแสบจากปู่จุ๊ปป์ในรองชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ปี 2013 ตามด้วยพี่เสือเจ้าเก่าแต่เป็นยุคของ เป๊ป บ้างใน เดเอฟเบ โพคาล 2014 และปิดท้ายบนแผ่นดินเยอรมันกับถ้วย เดเอฟเบ โพคาล เหมือนเดิมด้วยน้ำมือของ เฟาเอฟเอล โวล์ฟบวร์ก ในปี 2015

ก่อนจะมาบวกสถิติสุดแย่นี้ต่อกับ ลิเวอร์พูล อีก 2 ครั้งด้วยการคว้าดับเบิ้ลรองแชมป์ในฤดูกาล 2016 จากการแพ้ เซบีญ่า ในนัดชิง ยูโรป้าลีก และ แมนฯ ซิตี้ ในลีกคัพ




เหนื่อยหน่อยนะครับ หากคิดลบล้างสถิติส่วนตัวอันเลวร้ายของ JK เมื่อคู่แข่งในนัดชิงของพวกเขาคือจ้าวยุโรปอย่าง เรอัล แต่ผมเชื่อว่าลูกทีมคงจะสู้เพื่อ คล็อปป์ และตัวเองอย่างสมศักดิ์ศรีและเต็มที่อย่างแน่นอน

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก
ส่วน ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด หลังตื่นจากการหลับใหลอย่างยาวนานร่วม 20 ปี กลับมาเข้าชิงและได้แชมป์ในปี 1998 พกสถิติสุดโหดมาดวลกับทัพ หงส์แดง ในนัดชิงชนะเลิศปีนี้ ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ทุกครั้งเมื่อเข้าชิง 6 ครั้งหลังสุด ไล่เรียงมาตั้งแต่ 1998-2000-2002-2014-2016 และ 2017


สถิติสวยหรูขนาดนี้ แค่นี้ก็ชวนให้เหล่า มาดริดดิสต้า นั้นเคลิ้มตามไปแล้วไม่น้อย ประกอบกับคุณภาพของนักเตะที่ยกกระบิมาจากชุดคว้าแชมป์ 2 ปีติดแล้วนั้น เรียกว่าข่มขวัญกองทัพหงส์แดงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

การต้องพบกับความปราชัยในเกมนัดชิงถ้วยยุโรปหนสุดท้ายของพวกเขาต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 1981 ซึ่งมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วกว่าเกือบ 40 ปี เวลาขาดนี้กับถ้วยแชมป์ที่ได้เพิ่มเข้ามา พวกเขาคงลืมความชอกช้ำจากบทพระรองครั้งนั้นไปจนหมดแล้วสิ้น

แต่สิ่งที่มันน่าสนใจไม่ใช่ระยะเวลาที่เกิดขึ้นหน่ะสิครับ…

เพราะทีมที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับพวกเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ หงส์แดง ลิเวอร์พูล คู่ต่อกรของพวกเขาในปีนี้เนี่ยแหละครับ!

 

 คุณภาพ-ประสบการณ์นักเตะ และเกมเพรสซิ่งอาจเป็นสิ่งชี้ชะตาในเกมนี้ 

หากใครได้ดูเกมรอบรองชนะเลิศทั้งสองคู่ ได้เห็นเส้นทางของทั้งสองทีมที่ผ่านมา ในขณะที่ หงส์แดง ผ่านโรม่ามาด้วยเกม เกเก้นเพรสซิ่ง อันโด่งดังของ เยอร์เก้น คล็อปป์ แต่ เรอัล มาดริด ของ ซีเนอดีน ซีดาน เกือบจะเอาตัวไม่รอดจากการโดน เพรสซิ่ง ของทัพเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค โดยทั้งสองเกมในรอบรองชนะเลิศ ระหว่าง มาดริด กับ บาเยิร์น นั้น ทีมที่เล่นได้ดีกว่าอย่าง บาเยิร์น นั้นกลับเป็นฝ่ายต้องชอกช้ำจอดป้ายเพียงแค่รอบตัดเชือกในปีนี้

ในรายละเอียดเกมที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ที่เราได้ชมกัน แสดงให้พวกเราได้เห็นเลยว่าการเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้ ของ ราชันชุดขาว พวกเขาหาได้มันมาเพราะโชคช่วยแต่อย่างใด

ระหว่างที่ บาเยิร์น ครองความได้เปรียบทั้งสองเกม แต่กับทิ้งโอกาสทองลงคลองมากมาย แต่สิ่งที่ลูกทีมของ ซีดาน ได้แสดงออกมาจากโอกาสที่น้อยกว่าพวกเขากลับฉกฉวยมันมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าอยู่เสมอ

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

ส่วน ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ใช้ เกเก้นเพรสซิ่ง อันเลื่องลือของพวกเขาเล่นงาน โรม่า และเป็นฝ่ายได้รับการชูมือเหนือหัวจนได้ผ่านเข้ามาถึงในรอบชิงชนะเลิศที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้

และเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากัน สิ่งที่เราคาดว่าจะได้เห็นจากเกมนัดชิงที่จะเกิดขึ้นบนแผ่นดินเคียฟอาจจะเหมือนการฉายหนังม้วนเดิมจากรอบรองชนะเลิศก็เป็นได้

เพราะจากบทสัมภาษณ์ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เองด้วย รวมถึงการคาดการณ์จากสื่อต่าง ๆ นั้นต่างมองเหมือนกันเกือบหมดว่า ลิเวอร์พูล ก็คงมาเล่นเกมรุกตามสไตล์ถนัดของพวกเขาเอง แล้วใช้ เกเก้น เพรสซิ่ง ซึ่งเป็นจุดแข็งของทีมหงส์แดงชุดนี้ไล่บดบี้แย่งบอลจากฝั่งของ เรอัล มาดริด

แต่สิ่งที่ หงส์แดง ต้องพึงระวังไว้เลย คือนักเตะเชิงสูงหลาย ๆ คน ของ เรอัล มาดริด อย่าง โรนัลโด้, ลูก้า โมดริช และ อิสโก้ หากทีมราชันชุดขาวสามารถแกะเพรสซิ่งของลูกทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้เมื่อไหร่ โอกาสที่จะสร้างเกมรุกขึ้นไปทำประตูก็มีสูงมากเช่นกัน

และอย่างที่กูรูต่าง ๆ ไม่ว่าจะไทยหรือเทศ หลาย ๆ ท่านได้กล่าวไว้ สำหรับทุก ๆ เกมใหญ่นั้น ส่วนมากจะวัดกันที่ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในเกม และผู้ชนะก็คือทีมที่ผิดพลาดน้อยกว่า หรือ อาจจะผิดพลาดพอ ๆ กัน แต่สามารถฉกฉวยโอกาสจากตรงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการได้มากกว่าเท่านั้นเอง

หากมองตามหน้ากระดาษแล้ว ผู้เล่นของ เรอัล มาดริด ต่างชื่อชั้นดีและมีคุณภาพมากกว่านักเตะ ลิเวอร์พูล อยู่นิดหน่อย ยิ่งมอลึกลงไปถึงเรื่องประสบการณ์ในรอบชิงชนะเลิศแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

นักเตะตัวหลักของ ราชันชุดขาว หลายคนผ่านการลงเล่นนัดชิงชนะเลิศรายการนี้มาแล้วเกือบทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ ดาวซัลโวรวมของรายการนี้ และในปีนี้ อย่าง โรนัลโด้ กรีฑาทัพมาด้วย แกเร็ธ เบล,  อิสโก้, ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส, คาเซมิโร่ และ เซร์คิโอ รามอส เรียกได้ว่ายกเครื่องมาจากชุดป้องกันแชมป์ และพร้อมทำสถิติสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นทีมแรกที่สามารถคว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 3 สมัยซ้อนอย่างเต็มอัตราศึกเลยทีเดียว

ส่วนของทางด้าน หงส์แดง ลิเวอร์พูล นั้น เรียกว่าเป็นการเปิดซิงนัดชิงเจ้าบิ๊กเอียร์ถ้วยนี้เลยทุกคน!  อาจจะมีบางคนที่ผ่านการเล่นนัดชิงถ้วยเล็กมาแล้วบ้าง อย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เดยัน ลอฟเรน, เจมส์ มิลเนอร์, เนธาเนี่ยล ไคลน์, เอ็มเร่ ชาน และ ซิมง มินโญเล่ต์ แต่ทุกคนต่างรู้ดีกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในคืนพรุ่งนี้มันเป็นบรรยากาศที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

แต่การที่ขุนพลหงส์แดงนั้นไร้ประสบการณ์ในนัดชิง มันก็ไม่ใช่สิ่งที่หลาย ๆ ฝ่ายจะมองข้ามความอันตรายของสามประสานแนวรุก FSM ของพวกเขาได้อยู่ดี ทริโอของ ลิเวอร์พูล ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก หรือ แชมป์เปี้ยนลีก พวกเขาก็สำแดงเดชให้พวกเราได้ประจักษ์มาแล้วทั้งหมด!

ในฤดูกาลนี้ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กดรวมกันไปทั้งสิ้นถึง 82 ประตูรวมทุกรายการ และหากแยกมาในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก เพียว ๆ ก็ยังมีเน้น ๆ ถึง 31 ลูก ให้แฟนบอลหงส์แดงได้บรรเทิงเริงรมย์กัน

จริงอยู่หากวัดกันตัวต่อตัวผู้เล่น ลิเวอร์พูล อาจเป็นรอง เรอัล อยู่ประมาณครึ่งถึงหนึ่งช่วงตัว แต่ถ้าหากปล่อยให้ 3 คนนี้ได้มีโอกาสสร้างเกมรุกแล้วล่ะก็ ขอเพียงไม่กี่จังหวะ บางทีพวกเขาอาจเป็นฝันร้ายของ เรอัล มาดริด ในเกมนี้เลยก็ได้

 

 เป็นมากกว่าเรื่องระหว่างแก๊งค์ 

นอกจากเป็นเรื่องระหว่างทีมแล้ว เกมนี้ยังเป็นการดวลกันระหว่างคีย์แมนที่อาจจะเป็นตัวตัดสินเกมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ที่ดันมีสถิติทำประตูรวมจากทุกถ้วยเท่ากันที่จำนวน 44 ลูก แบบพอดิบพอดี

มาดริดดิสต้า อาจชูมือให้ โรนัลโด้ เป็นฝ่ายชนะจากจำนวนเกมลงเล่นที่น้อยกว่า แต่กับสิ่งที่ ซาล่าห์ ทำนั้นมันคือผลงานระดับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสำหรับ เดอะ ค็อป

ณ ตอนนี้ ลิโอเนล เมสซี่ นั้นยิงมากสุดในซีซั่นนี้รวมทุกถ้วย เมื่อสังหารไปทั้งสิ้น 45 ประตู แต่เจ้าตัวหมดก็โอกาสที่จะบวกสกอร์เพิ่ม เนื่องจาก บาร์ซ่า ต้นสังกัดไม่เหลือเกมการแข่งขันให้ได้ลงเล่นแล้ว

ตอนนี้จึงเหลือแค่ CR7 และ ซาล่าห์ ที่เป็นคีย์แมนและความหวังในการกระทุ้งประตูของทั้งสองทีมเพียงสองคนเท่านั้น ที่ยังมีโอกาสสร้างสถิติเพิ่มได้ และมีโอกาสที่จะแซง เมสซี่ ในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนลีกค่ำคืนวันเสาร์นี้

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก




ตัวของ CR7 เองนั้นไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว การยืนระยะเป็นเครื่องจักรถล่มประตูมากว่า 10 ปี นั้นบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แต่การจบซีซั่นด้วยประตูที่เหนือกว่า เมสซี่ และ ซาล่าห์ ก็จะยิ่งทำให้ดูสง่าสมกับเป็น คิง ของ ราชันชุดขาว ในยุคนี้อย่างเต็มภาคภูมิ

ในรายของ ซาล่าห์ หลังจากสร้างความมหัศจรรย์ยิงประตูอย่างถล่มทลายให้กับ หงส์แดง ฤดูกาลนี้ ทำลายสถิติส่วนตัวมากมาย ถึงกับได้รับการสถาปนาจากแฟนบอลบ้านเกิดให้เป็นถึง ก็อด ออฟ อิยิปต์ ในเวลานี้

บางคนค่อนขอดว่าอาจเร็วเกินไป แต่ผลงานที่สุดยอดขนาดนี้รวมถึงจำนวนประตูที่เกิดขึ้น ส่งให้เจ้าตัวโดนนำไปเทียบกับและกลายเป็นคู่แข่งของ เมสซี่ และ โรนัลโด้ เรียบร้อยในตอนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้วเกมนี้จะจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไหน และใครกันที่จะครองสถิติดาวซัลโวยุโรปซีซั่นนี้ นอกจากจะเป็นแมตช์ที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งแล้ว การดวลกันเพื่อทำสถิติเแซง เมสซี่ ที่ต่างเป็นคู่แข่งเป้าหมายของทั้งสอง และจบซีซั่นด้วยการทำประตูเหนือคู่ต่อสู้ทุกคนก็น่าติดตามไม่แพ้กันเลยทีเดียว

 

 แรงกระหายในการคว้าแชมป์ 

ความสำคัญและความกระหายในการคว้าชัยชนะในเกมนี้ของทั้งคู่ไม่มีทีมไหนยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

ฟากของ หงส์แดง การหายหน้าไปจากรายการนี้กว่า 3 ปี หลังการเข้าชิงครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2007 ก่อนจะจบลงด้วยความชอกช้ำจากความพ่ายแพ้ต่อ เอซี มิลาน โจทก์เก่าผู้ที่ หงส์แดง นั้นเป็นคนฝากรอยแผลให้กับทัพปีศาจแดงดำเองในค่ำคืนมหัศจรรย์ที่อิสตันบูลของพวกเขาเมื่อคว้าแชมป์ยุโรปครั้งสุดท้ายที่นั่น

ถ้าใครทันได้ดูเกมในค่ำคืนนั้น สำหรับสาวกหงส์แดง มันถือเป็นหนึ่งในเกมสุดยอดแห่งความทรงจำเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้นะครับ นอกจากจำนวนตัวผู้เล่นของทั้งสองทีมและจำนวนตั๋วที่แบ่งขายให้กับแฟนบอลทั้งสองสโมสรแบบเท่า ๆ กัน ทุกอย่างนอกจากนั้นของทางฝั่ง ลิเวอร์พูล เป็นรอง เอซี มิลาน เกือบจะทุกกระเบียดนิ้ว!

สกอร์ในครึ่งแรกที่โดนนำห่างถึง 3-0 ยิ่งตอกย้ำถึงความห่างชั้นของตัวผู้เล่นของทั้งสองทีมได้เป็นอย่างดี ใครจะเชื่อว่าไลน์อัพ หงส์แดง ในเวลานั้นที่เต็มไปด้วยนักเตะเกรดซี อย่างมากเต็มที่ก็บีบวก จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์คัมแบ็คกลับมาตีเสมอ 3-3 และคว้าแชมป์ด้วยการชนะจุดโทษชนิดที่ว่า ใครที่ปิดทีวีตั้งแต่ครึ่งแรก ตื่นมาเป็นต้องงงเป็นไก่ตาแตกกันเลยทีเดียว

จากการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ในครานั้น และพ่ายแพ้ในนัดชิงอีกสองปีต่อมา กว่าจะได้กลับมาปะหน้ากับเจ้าบิ๊กเอียร์อีกครั้ง แฟน ๆ หงส์แดงต้องเปลี่ยนปฏิทินกันไปทั้งสิ้นกว่า 11 รอบ!

ดังนั้น ครั้งนี้มันจึงมีความหมายอย่างมากสำหรับแฟนบอลและเหล่านักเตะ รวมถึงทุกคนที่มีใจให้หงส์แดง ล้วนแต่อยากจะสัมผัสบรรยากาศแบบค่ำคืนในอิสตันบูลนั้นอีกสักระลอก และทำให้ปรากฎการณ์เหล่านั้นกลับมาฉายซ้ำอีกครั้งที่กรุงเคียฟ

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

ส่วนฝั่งของ เรอัล ใคร ๆ ต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นสุดยอดของรายการนี้ ไม่เพียงแต่จะคว้าแชมป์มากที่สุด แต่พวกเขาสามารถคว้าเจ้าบิ๊กเอียร์มานอนกอดได้ถึง 3 ครั้งจาก 4 ฤดูกาลหลังสุด รวมถึงลบอาถรรพ์ในการป้องกันแชมป์ที่ไม่มีใครทำได้มาตลอดนั้นก็ต้องจบลงด้วยน้ำมือของพวกเขา

ย้อนกลับไปในอดีต ถ้านับรวมในรูปแบบเก่าจากยูโรเปี้ยนคัพเดิม สโมสรที่คว้าแชมป์แบบแฮททริคนอกจาก เรอัล เองแล้วยังมี อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม (1971,1972,1973) และ บาเยิร์น มิวนิค (1974,1975,1976) แต่สิ่งที่ทำให้ เรอัล พิเศษกว่า 2 ทีมนี้คือการคว้าแชมป์ถึง 5 สมัยติดในยุคนั้นเลยต่างหาก! (1956,1957,1958,1959,1960)

ณ ปัจจุบัน ในชุดตัวหลักจาก 24 ขุนพล เรอัล มาดริด ที่ตบเท้าเข้ามาเล่นนัดชิงครั้งนี้ เรียกว่าแทบจะยกเครื่องมาจากชุดที่คว้าแชมป์ 2 สมัยซ้อนเลย ด้วยคุณภาพของนักเตะ รวมถึงประสบการณ์ในเกมชิงดำแบบนี้ หาก เรอัล จะเป็นฝ่ายคว้าชัยก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไรนักเลย

และความกระหายในการคว้าแชมป์เพื่อทำสถิติสุดอลังการทั้งหลายแหล่คงเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่จะมาเผาผลาญ ลิเวอร์พูล ศัตรูที่ขวางหน้าพวกเขาในการสร้างสุดยอดเทพนิยายครั้งนี้

มันจะสุดยอดแค่ไหนหากพวกเขาสามารถสร้างสถิติต่อไปให้มันยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยการเป็นทีมที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้สามสมัยติดเป็นคำรบที่สองเป็นทีมแรก และอาจจะเป็นแค่ทีมเดียวเทานั้นที่ทำได้ในประวัติศาสตร์!

 

ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลและสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในเกมคืนวันพรุ่งนี้ ค่ำคืนสุดท้ายของเกมนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกของฤดูกาล 2017-2018 นะครับ

ไม่ว่าจะฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายคว้าชัยและได้เจ้าบิ๊กเอียร์ไปครอบครอง แต่รับรองว่าแฟนบอลทุกคนจะได้รับชมเกมคุณภาพและความมันส์ที่รังสรรค์โดยสองสโมสรที่ดีที่สุดในขวบปีของรายการนี้อย่างแน่นอน

 

01:45 คืนวันเสาร์ หยุดทุกกิจกรรม แล้วรอระเบิดความมันส์ไปด้วยกันกับศึกชิงจ้าวยุโรปปี 2018 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้!


 

iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ

“Football can make a friend, can make a life”

หากต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา email มาที่ ireallylikefootball@gmail.com
หรือติดต่อเราได้ที่ http://www.ireallylikefootball.com/contact