ในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย กับเกมนัดชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ซึ่งเป็นการพบกันของสองทีมที่มีแชมป์ยุโรปรวมกันเกือบ 20 สมัย แบ่งเป็นของ ราชันชุดขาว รีล มาดริด ซะ 12 และฝ่าย หงส์แดง ลิเวอร์พูล อีก 5 สมัย

ที่มาที่ไปและเบื้องหลังความยิ่งใหญ่บนเวทียุโรปของ รีล มาดริด เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรศที่ 60 ในยุคของ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ นักเตะระดับตำนานของทีมผู้เป็นแกนนำในยุคนั้น พาทีมเป็น แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ถึง 6 สมัย

จากนั้น มาดริด ห่างหายจากการเป็นจ้าวยุโรปร่วมกว่า 20 ปี ก่อนที่จะมาได้แชมป์อีกครั้งในยุคของเทรนเนอร์มากฝีมือ จุ๊ป ไฮย์เกส ตอนปี 1998 ต่อด้วย บิเซนเต้ เดล บอสเก้ อีกสองสมัย ในปี 2000 และ 2002 และมาพีคสุด ๆ ในยุคปัจจุบันของ ซีเนอดีน ซีดาน ที่ได้แชมป์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2014 และ 2016 จากนั้นในปีถัดมา ปี 2017  รีล มาดริด ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกตั้งแต่ยุคที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก เพราะเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ได้

ดังนั้นถ้าอยากจะให้ยิ่งใหญ่และถูกกล่าวขานไปอีกยาวนาน การเอาชนะ ลิเวอร์พูล และได้แชมป์ครั้งนี้ของทัพเรอัล จึงมีความสำคัญกว่าครั้งไหน ๆ

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

 

ยิ่งใกล้วันแข่งมากเท่าไหร่ เหล่าตำนานของทีม เฮดโค้ชอย่าง ซีดาน รวมถึงบรรดานักเตะของ รีล มาดริด ล้วนให้สัมภาษณ์ในเชิงจิตวิทยาและปลุกเร้ากันอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว ซึ่งบางคนแอบคิดว่ามันอาจเป็นดาบสองคม ที่ความมั่นใจเหล่านี้จะย้อนกลับมากดดันและทำร้ายพวกเขาเอง

เพราะหากพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ นอกจากจะชวดทำสถิติที่สุดแสนสำคัญในประวัติศาสตร์ของสโมสรและเวทียุโรปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าหวาดหวั่นไม่แพ้กัน นั้นคือการจบซีซั่นด้วยความวางเปล่า ไร้โทรฟี่สำคัญทั้ง ลาลีก้า และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก แต่จะมีเพียงแค่แชมป์ ฟีฟ่าคลับ เวิร์ลด์คัพ มาประดับตู้โชว์ของสโมสรในปี 2018 นี้เท่านั้น

 

การสร้างประวัติศาสตร์ และการตัดเกรดในซีซั่นนี้ของ รีล มาดริด จึงขึ้นอยู่กับเกมวันเสาร์นี้เท่านั้น!




แต่ผมเชื่อว่าทีมระดับ รีล มาดริด ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้เป็นทีมแรก คงจะไม่บ้อท่าด้วยเรื่องความกดดันแค่นี้หรอกครับ เพราะด้วยคุณภาพ+ศักยภาพรอบด้าน รวมถึงประสบการณ์โชกโชนในเกมระดับนี้ มันจะทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นเกิดขึ้นจริง นั่นคือการเถลิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 3 ฤดูกาลติด และถ้าเกิดขึ้นจริง ผมเชื่อว่าสถิตินี้จะคงอยู่ไปอีกนาน และยากมากที่จะหาทีมไหนมาทำลาย…ไม่แม้แต่จะเป็น บาร์เซโลน่า ก็ตาม

ดังนั้น ราชันชุดขาว รีล มาดริด “จ้าวยุโรปของโลก” รายนี้ น่าจะรู้วิธีรับมือกับความกดดันในการสอบไฟนอลครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี.

 

ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

 

ส่วนทางด้านของ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ถ้าไม่เอาจำนวนแชมป์ไปเทียบกับทางฝั่งของ มาดริด ก็ถือว่าศักดินาที่มีก็ยิ่งใหญ่พอตัวเลยนะครับ เพราะนอกจาก รีล มาดริด ที่เป็นเจ้าของแชมป์เจ้าหูใหญ่เยอะที่สุดด้วยจำนวน 12 สมัย ที่เหนือกว่า หงส์แดง ก็มีเพียง เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่จากแดนมะกะโรนีที่คว้าไป 7 สมัย ส่วนที่กระจุกกันอยู่ที่ 5 สมัย นอกจาก หงส์แดง ก็มี บาเยิร์น มิวนิค และ บาร์เซโลน่า

โดย 5 สมัย ที่ได้มาของ หงส์แดง มีถึง 4 สมัย ที่เป็นการสานต่อจากความยิ่งใหญ่ในปลายทศวรรษ 70 ต่อมาจนถึงต้น 80 และเดินทางมายาวนานไปที่ค่ำคืนมหัศจรรย์บนแผ่นดิน อิสตันบูลในปี 2005 ที่เป็นการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งสุดท้ายของทีม หงส์แดง ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยมาแล้วถึง 13 ปี

อ่านมาถึงตรงนี้อาจมี เดอะ ค็อป บางส่วนท้วงผมถึง แชมป์ลีกคัพ เมื่อปี 2011 ล่ะ ไม่นับรวมด้วยหรอ? ลองถามใจคุณเองดูครับว่ามันพอจะเป็นยาใจ กับการที่ต้องห่างแชมป์ลีกมานานกว่า 28 ปีหรือเปล่าล่ะ?! ผมคิดว่าทุกคนต่างรู้ถึงความแตกต่างดี

ปัจจุบันในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเฮฟวี่เมทัลของชาว หงส์แดง เคยพาแฟนกลับมาสัมผัสบรรยากาศของเกมนัดชิงชนะเลิศได้ถึง 2 รายการตั้งแต่ขวบปีแรกที่ก้าวเข้ามากุมบังเหียน ถึงแม้ต้องจบด้วยความชอกช้ำรับบทพระรองทั้งสองรายการ แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ JK ปลุกดีเอ็นเอในการล่าแชมป์ให้กลับมาสู่ทีมในทิศทางที่ควรจะเป็น และยังเป็นการสร้างความคุ้นเคยให้ลูกทีมได้สัมผัสบรรยากาศของเกมชิงชนะเลิศ



ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

แน่นอนว่าทุกคนทราบดีว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ มีสถิติส่วนตัวที่ไม่ดีนักในการเข้าชิง 5 ครั้งหลังสุด หลังจากต้องวืดทุกรายการ สื่อต่าง ๆ ก็ชอบเล่นประเด็นนี้ แต่สิ่งที่ คล็อปป์ ตอบกลับไปว่า “จริงอยู่ว่าผมมีสถิติที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับการเข้าชิงครั้งหลัง ๆ แต่หนทางแรกที่จะเปลี่ยนมัน ก็คือการพาทีมเข้าชิงเรื่อย ๆ นั่นแหละ”

คำพูดของ คล๊อป นอกจากจะเป็นการปลุกใจลูกทีมแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่า เดอะ ค็อป ได้รู้สึกถึงความทะเยอทะยานที่เปลี่ยนไปของทีมอีกต่างหาก ในนัดชิงวันเสาร์นี้ JK และลูกทีมคงมีความกระหายที่จะคว้าแชมป์ให้ได้เป็นสมัยที่ 6 ไม่แพ้ทาง รีล มาดริด เป็นอย่างแน่

จากความภาคภูมิใจที่เคยรั้งตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่นหนึ่งเดิม) มาอย่างยาวนาน ก่อนจะโดน แมนฯยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แซง ลิเวอร์พูล ยังมีตำแหน่งแชมป์ยุโรป 5 สมัย เป็นไม้ตายก้นหีบ เอาไว้ให้ชโลมจิตใจ และให้แฟน ๆ ได้ยืดกันมาได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ดีและรู้สึกอุ่นใจมากกว่านี้ ก็ควรจะสอยมาอีกสมัยกันเอาไว้ดีกว่า

ค่ำคืนวันเสาร์ที่จะถึงนี้บนแผ่นดินยูเครน เราจะได้รู้กันว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ และ ขุนพลหงส์แดง ของเค้า จะสามารถคว้าแชมป์กลับมายังเกาะอังกฤษ และทำให้แน่ใจว่าสโลแกน “จ้าวยุโรปของเกาะอังกฤษ” จะอยู่กับทีมไปอย่างน้อยก็อีกหลายปี

 

สุดท้ายแล้วเกมนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น สิ่งที่เราทุกคนรอคอยในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก นัดชิงชนะเลิศคืนวันเสาร์นี้ น่าจะเป็นเกมที่สนุกและสู้กันอย่างสุดมันส์อย่างแน่นอน ด้วยอัตราการเดิมพันที่สูงลิ่ว เพราะต่างเป็นแชมป์ที่ทั้งสองทีมหวังคว้ามันมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้เป็นเกียรติประวัติแก่สโมสรของพวกเค้าเอง

 

อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น แฟนบอลทุกท่านเตรียมนับถอยหลังกันได้เลย!


 

iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ

“Football can make a friend, can make a life”

หากต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา email มาที่ ireallylikefootball@gmail.com
หรือติดต่อเราได้ที่ http://www.ireallylikefootball.com/contact