ในวงการฟุตบอล แต่ละแมตช์การแข่งขันล้วนมีเรื่องราวให้น่าจดจำเสมอ เรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ สามารถสร้างคนธรรมดาให้กลายเป็น “คนจริง” ในสายตาแฟนบอลได้เพียงชั่วพริบตา
iReallyLikeFootball.com ขอนำเสนอบุคคลที่เราคัดสรรมา คนเหล่านี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเก๋าและมีออร่าในตัว จึงขอยกให้เป็น 4 คนจริง ในวงการฟุตบอล ใครเจอกับ 4 คนจริงนี้ ไม่ว่าจะโด่งดังเป็นดาวค้างฟ้ามาจากไหน รับรองมีหวั่นเกรงแน่นอน
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
“คนจริง” บรมกุนซือ โคตรฟุตบอล ผู้จัดการทีมสุดเฮี๊ยบ ผู้วางรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับ แมนยูฯ จนถึงทุกวันนี้ ปราบมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นนักเตะสุดโด่งดังมาจากไหน ซุปเปอร์สตาร์อย่าง เดวิด เบ็คแฮม (อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เทพบุตรลูกหนัง “ซุปเปอร์ เดวิด ไอดอล เบ็คแฮม” – คลิก) ดาวยิงระดับพระกาฬ รุด ฟาน นิสเตลรอย ปราการหลังสุดแกร่ง ยาป สตัมป์ หรือแม้กระทั้งกัปตันทีมฮาร์ดคอร์อย่าง รอย คีน หากเป็นที่ไม่ประทับใจ ไม่อยู่ในระเบียบ แข็งข้อ บิดเบือนจากปรัชญาของความเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เฟอร์กี้ ไล่ตะเพิดกลับบ้าน ขายทิ้ง ไม่มีชิ้นดี ถึงแม้ว่านักเตะเหล่านั้นโคตรสำคัญและเป็นกำลังหลักของ แมนยูฯ ก็ตาม แต่จริง ๆ แล้ว กำลังหลักของ แมนยูฯ คือ เฟอร์กี้ ต่างหาก!
ด้วยความเก๋า และบารมีของ เฟอร์กี้ ที่มีทั้งในและนอกสนาม ทำให้ใครหลายคนแซวว่า เฟอร์กี้ นั้นมีอิทธิพลต่อ FA ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อเกมการแข่งขัน การให้สัมภาษณ์สื่อ มักสร้างภาวะกดดันให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น ตลอดจนมีอิทธิพลต่อผู้ตัดสิน เพราะทุกครั้งที่เค้ายืนสั่งการลูกทีมอยู่ข้างสนาม ความมีออร่าสามารถกดดันผู้ตัดสินได้โดยไม่รู้ตัว และหลายต่อหลายครั้งที่ แมนยูฯ รูปเกมไม่ได้ดีไปกว่าคู่แข่ง แต่เมื่ออยู่ในภาวะถูกกระตุ้น และคำพูดปลุกใจจาก เฟอร์กี้ แมนยูฯ สามารถยิงประตูชัยในนาทีท้าย ๆ ของการแข่งขันได้เสมอ
ฤดูกาล 2012/13 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เค้าพา แมนยูฯ คว้า แชมป์พรีเมียร์ ลีก เหนือทีมคู่แข่งที่มีเงินถุงเงินถังอย่าง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ได้อย่างขาดลอย ทั้ง ๆ ที่ในปีนั้น เฟอร์กี้ จัดการแก้ปัญหาการยิงประตู ด้วยการดึงตัว โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ มาจาก อาร์เซน่อล แค่เพียงคนเดียวที่เป็นกำลังหลัก และร้องขอให้ พอล สโคลส์ ที่ประกาศแขวนสตั๊ดไปแล้วกลับมาช่วยทีมอีกหนึ่งฤดูกาล เพียงเท่านี้ ไม่ต้องลงทุนให้ใหญ่โตเหมือนอย่างทีมอื่น ผู้จัดการทีมคนจริงแห่ง เฟอร์กี้ ยูไนเต็ด ก็จบฤดูกาลสุดท้ายของเค้าแบบแฮปปี้ เอนดิ้ง
“The work of a team should always embrace a great player but the great player must always work”
– Sir Alex Ferguson –
คริสเตียนโน่ โรนัลโด้
สำหรับ “คนจริง” คนที่สองนี้ วงการฟุตบอลต้องสั้นสะเทือน ซึ่งหากมองในแง่ของความสำเร็จและความเก่งกาจเพียงอย่างเดียว หลายคนอาจคิดว่า ทำไมคนจริงคนนี้ถึงเป็น โรนัลโด้ นัมเบอร์เซเว่น หาใช่ เมสซี่ อัจฉริยะแห่งกาตาลัน ไม่?
นั่นก็เพราะ โรนัลโด้ พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าเค้ากล้าที่จะท้าทายความสามารถของเค้าในการไปเล่นต่างถิ่น เด็กน้อยชาวโปรตุกีส ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพิสูจน์ตัวเองที่เกาะอังกฤษ ในช่วงแรกที่ค้าแข้งกับ แมนยูฯ โรนัลโด้ เหมือนจะเริ่มต้นได้ไม่ดีนัก ด้วยสไตล์ที่เล่นยาก และยังปรับตัวไม่ได้ ทั้งยังถูกกดดันจากสื่อในอังกฤษอยู่เสมอ
แต่นั่นก็คือสิ่งที่ย้ำว่า คนจริงก็คือคนจริง โรนัลโด้ ผลักดันสิ่งเลวร้ายเหล่านั่นให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อน ทำให้เค้าพยายามยิ่งขึ้น จนยิงสนั่นกับแมนยูฯ ใน พรีเมียร์ ลีก ลีกที่ขึ้นชื่อว่าหินที่สุดในโลก โรนัลโด้ เปิดโลกทัศน์ของลีลาฟุตบอลอันสวยงาม การสับขาหลอกที่เป็นเอกลักษณ์ ลูกยิงฟรีคิกแบบ Knuckle ball (ยิงฟรีคิกแบบให้ลูกบอลส่ายไปมา) และปัจจุบันยังคงเป็นดาวค้างฟ้าที่ รีล มาดริด โลดแล่นทำลายสถิตินับไม่ถ้วน (บทความที่เกี่ยวข้อง โรนัลโด้ กับ 100 ตุงในแชมเปี้ยนส์ลีก – คลิก) ในขณะที่อายุอานามปาเข้าไป 30 หน่อย ๆ สิ่งนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่น่ายกย่องของ โรนัลโด้ เพราะการที่นักฟุตบอลคนนึงจะมีสมรรถภาพทางร่างกายที่ดีเยี่ยมในช่วงวัย 30 นั้น จะต้องมีวินัยในการใช้ชีวิตอย่างมาก การฝึกซ้อมที่เคร่งครัด การรับประทานอาหารที่มีโภชนการสูง การรักษาสมดุลต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักฟุตบอลในวัยนี้มักจะโรยราลง บ้างก็เปลี่ยนตำแหน่ง บ้างก็ลดบทบาทตัวเองลง หรือย้ายไปในลีกที่ต่ำชั้นกว่า…แต่ไม่ใช่กับ โรนัลโด้
อีกประการสำคัญที่ยกตำแหน่งคนจริงให้กับ โรนัลโด้ เหนือ เมสซี่ นั่นเพราะในเกมระดับชาติ โรนัลโด้ อยู่ในสภาวะที่ต้องแบกทีมมากกว่า เมสซี่ หลายเท่า (แถมไม่เคยน้อยใจจะอำลาทีมชาติแบบ เมสซี่ ด้วย ><) และในทัวร์นาเม้นต์ล่าสุด กัปตันนัมเบอร์เซเว่น ทำให้ชาวโปรตุกีสทั้งประเทศมีความสุข ด้วยการคว้า แชมป์ยูโร 2016 อย่างสุดยิ่งใหญ่ แม้ว่าในเกมนัดชิงชนะเลิศนั้น เค้าต้องหลั่งน้ำตาเพราะได้รับบาดเจ็บระหว่างการแข่งขันในนัดสำคัญนี้ แต่ทุกคนคงจำได้ดีว่า ทันทีที่เค้าปฐมพยาบาลเสร็จ โรนัลโด้ มายืนข้างสนามคอยให้กำลังใจเพื่อนในสนาม คอยปลุกกระตุ้น และช่วยสั่งการราวกับตนเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมเลยทีเดียว ความมีออร่าระดับ โรนัลโด้ จึงส่งผลให้เค้าได้ชูถ้วยใบนี้สำเร็จ
“Talent without working hard is nothing”
– Cristiano Ronaldo –
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช
คนจริง รายนี้ อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารในวงการฟุตบอลก็ว่าได้ ไม่แน่ใจว่าต้องเรียก “คนจริง” หรือเรียก พระเจ้าของพระเจ้า กันแน่! เอาเป็นว่าขอเรียก พระเจ้า แล้วกัน! พระเจ้าตนนี้ นามว่า ซลาตัน สกุล อิบราฮิโมวิช ไปที่ไหนที่นั่นมีแชมป์ เรื่องความมีบารมีและออร่าในตัวไม่ต้องพูดถึง เชื่อเลยว่านักฟุตบอลคนใดที่ได้เล่นร่วมทีมกับ ซลาตัน จะได้รับแรงกระตุ้นในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว ซลาตัน มีบุคลิกในสนามอันยอดเยี่ยม ความดุดัน ความฮึกเหิม การยิงประตูปลิดชีพที่โคตรเด็ดขาด ลีลาและทักษะความพริ้วที่หายากในนักฟุตบอลร่างยักษ์ เจ้าของความสูง 195 cm เราจะเห็น ซลาตัน กระโดดยิงลูกสวย ๆ อยู่บ่อยครั้ง จนฝรั่งแซวว่านี่คือ The Taekwondo Footballer และเชื่อว่านักฟุตบอลฝ่ายตรงข้ามที่ต้องตามประกบ ซลาตัน ล้วนมีอาการขาสั่น หวั่นเกรงบารมีของร่างอวตารตนนี้แน่นอน
ซลาตัน เริ่มต้นฉายแววความโดดเด่นที่ ฮอลแลนด์ โดยการพา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม (74 นัด 35 ประตู) คว้าแชมป์ลีก จากนั้นมากวาด สคูเด็ตโต้ ให้กับสองยักษ์ใหญ่ในอิตาลี คือ ยูเวนตุส (70 นัด 23 ประตู) และ อินเตอร์ มิลาน (88 นัด 57 ประตู) จน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาขึ้นยานอวกาศ เพื่อคว้าแชมป์ ลาลีก้า กับ บาร์เซโลน่า (29 นัด 16 ประตู)
ต่อมาในปี 2010 ซลาตัน ถูกปล่อยยืมตัวให้กับ เอซี มิลาน หลังจากมีปัญหาที่ บาร์ซ่า ตอนนั้นเหมือนจะเป็นช่วงขาลงของเค้า แต่พระเจ้าก็คือพระเจ้า ซลาตัน ยิงกระหน่ำที่อิตาลีอีกครั้ง จนฤดูกาลต่อมา เอซี มิลาน จึงซื้อขาด และคว้า สคูเด็ตโต้ ในปี 2011 (61 นัด 42 ประตู)
ปี 2012 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง กว้านซื้อสตาร์ระดับโลกเข้าร่วมทีม ซลาตัน เองก็เป็นหนึ่งในนั้น สี่ปีที่ฝรั่งเศสเหมือนเป็นขนมทานเล่นของพระเจ้า เค้ายิงอุตลุดชนิดที่เรียกว่า หลับตายิงยังเข้า (122 นัด 113 ประตู) พา ปารีสฯ เถลิงแชมป์เป็นว่าเล่น
ซลาตัน ในวัย 35 ปี ย้ายมาอยู่ แมนยูฯ เมื่อปี 2016 ด้วยวัย 35 ปี แต่ดูราวกับว่าบนสววรค์ พระเจ้าจะแก่ช้ากว่ามนุษย์ ซลาตันเล่นเหมือนกับคนหนุ่ม ยังคงมีความคมและเด็ดขาดเช่นเดิม ซึ่งในลีกที่เรียกว่าหินที่สุดนี้ ซลาตัน ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเค้าอยู่ที่นี่ได้ แต่แม้จะพา แมนยูฯ คว้าแชมป์ลีกไม่ได้ เค้าก็พา แมนยูฯ คว้าถ้วย ยูโรป้า ลีก ไปครองแทน (33 นัด 17 ประตู)
ปัจจุบันหลังจากหายเจ็บกลับมา ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ค้าแข้งกับ แอลเอ กาแล็คซี่ และนัดแรกที่ลงประเดิมสนาม ซลาตัน เปิดตัวอย่างสวยหรู ทำสองประตูในนัดแรกของตนเองที่อเมริกา
“I came like a hero, left like a legend”
– Zlatan Ibrahimovic –
จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน
จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน สุดยอดนายทวาร “คนจริง” แห่ง เบียงโคเนรี่ เริ่มจากการเป็นนายทวารทีมเยาวชนให้กับ จัลโล่บลู ปาร์ม่า จนเลื่อนขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ และเฉิดฉายแววความเป็นมือกาวในตอนนั้น (บทความที่เกี่ยวข้อง ปาร์ม่า “โชคชะตาที่กำหนดเอง” – คลิก) ทำให้ในปี 2001 ยูเวนตุส ทุ่มทุนมหาศาลเป็นสถิติโลกของการซื้อนายทวารที่แพงที่สุด สนนราคาที่ 52 ล้านยูโร ดึงมาร่วมทัพจนถึงปัจจุบัน
ปี 2006 ความเป็น “คนจริง” ของ บุฟฟ่อน เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาแฟนบอลทั่วโลก เมื่อ ยูเวนตุส ถูกริปแชมป์และปรับตกชั้นไปเล่นใน เซเรีย บี เนื่องจากปัญหาการทุจริต ซึ่งในขณะนั้น บุฟฟ่อน เป็นมือหนึ่งให้กับทีมและอยู่ในช่วงขาขึ้น มีทีมระดับโลกมากมายสบโอกาสที่ ยูเวนตุส ถูกปรับตกชั้น ให้ความสนใจในการดึงตัวเค้ามาร่วมทีม และพร้อมที่จะประเคนค่าเหนื่อยมหาศาล แต่ บุฟฟ่อน ไม่สนใจเม็ดเงินเหล่านั้น เค้าไม่ทิ้ง ยูเวนตุส ไปไหน ยังคงเคียงบ่าเคียงไหล่กับต้นสังกัดเพื่อต่อสู้ใน เซเรีย บี จนคว้าแชมป์และได้เลื่อนชั้นในที่สุด และด้วยความจงรักภักดีนี้ พระเจ้าจึงประทานพรให้เค้าได้ชูถ้วยอันทรงเกียรติสูงสุดของอาชีพนักฟุตบอล เมื่อ ทีมชาติอิตาลี ที่มี บุฟฟ่อน เป็นนายทวารมือหนึ่ง ประกาศศักดาทั่วโลกด้วยการคว้า แชมป์ฟุตบอลโลก ในปีเดียวกันนั่นเอง
บุฟฟ่อน โดดเด่นมากในเรื่องของการอ่านเกม และมีปฏิกิริยาที่ว่องไว ถือเป็นป้อมปราการด่านสุดท้ายให้กับ ยูเวนตุส และ ทีมชาติอิตาลี ปัจจุบันอายุปาเข้าเลขสี่แล้ว แต่ยังคงมีความเก๋า และมองเกมทะลุปรุโปร่ง หลายต่อหลายครั้งที่ทีมน่าจะต้องเสียประตู แต่เค้ากลับเซฟลูกยิงสวย ๆ ได้หลายลูก จนแปรเปลี่ยนสิ่งเหลือเชื่อเหล่านั้นให้กลายมาเป็นแรงผลักดันของทีม และทำให้ได้รับชัยชนะในที่สุด จนถึงปัจจุบัน บุฟฟ่อน ลงเล่นให้กับ ยูเวนตุส ต้นสังกัด ไปแล้วกว่า 500 นัด กวาดไป 9 สคูเด็ตโต้ และฤดูกาลที่ 2017/18 นี้ก็คงไม่พลาด กำลังเตรียมพร้อมที่จะฉลองแชมป์กับ ยูเวนตุส เป็นครั้งที่สิบ
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลโลก 2018 ปีนี้ ทีมชาติอิตาลี ไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์นี้ได้ และก็เป็นที่น่าเสียดายมากที่จะไม่ได้เห็น นายทวาร คนจริง จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน โลดแล่นใน ฟุตบอลโลก ครั้งนี้ เพราะคงจะเป็นครั้งสุดท้ายของเค้า ทั้ง ๆ ที่ บุฟฟ่อน หวังไว้ว่า เค้าจะพา อิตาลี ลุยศึกฟุตบอลโลกในวัย 40 ปี และคว้าแชมป์รายการนี้ได้ เหมือนกับที่ ดิโน ซอฟฟ์ ไอดอลของเค้าที่เคยพา อิตาลี คว้า แชมป์โลกในปี 1982 ด้วยวัย 40 ปีมาแล้วเช่นกัน
“In this job, you accept criticism and give answers on the field”
– Gianluigi Buffon –
iReallyLikeFootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล ข่าวฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“Football can make a friend, can make a life”
หากต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา email มาที่ ireallylikefootball@gmail.com
หรือติดต่อเราได้ที่ http://www.ireallylikefootball.com/contact