รายการฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือชื่อเดิมคือ ยูโรเปี้ยนคัพ นับว่าเป็นรายการที่สโมสรทั่วทั้งยุโรปรวมบรรเลงเพลงแข้งมากที่สุดมาตลอดกว่า 60 ปี บรรดาเหล่าทีมชั้นนำจากสิบประเทศต่างสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นชู ถ้วยบิ๊กเอียร์ ใบนี้มาตลอด ซึ่งผู้ชนะในการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมนี้ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นยอดทีมชั้นนำของประเทศต่างๆ อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามบางครั้งฟุตบอลก็ไร้คำจัดกัดความเมื่อเหล่าทีมรองบ่อนหรือบรรดาม้ามืดทั้งหลายอาจผงาดขึ้นมาฉายแสงกันให้ช็อคกันทั้งวงการมานักต่อนักแล้ว
และนับตั้งแต่ทัวร์นาเม้นท์ได้ก่อกำเนิดมาเป็น ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกันอย่างทุกวันนี้นับตั้งแต่ปี 1955 ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะขอพาทุกท่านมาพบกัน 5 อันดับทีมม้ามืด ที่ไม่รู้อยู่ดีๆ โผล่มาจากไหน และก็ผงาดคว้ารางวัลแชมเปี้ยนส์ลีกไปครองกันแบบเซอร์ไพร์สแฟนบอลทั้งโลก
1. กลาสโกว เซลติก – 1966/67
ฟุตบอลในสหราชอาณาจักรต้องตกอยู่ในเงามืดของประเทศอื่นๆ อย่าง สเปน โปรตุเกส อิตาลี จนกระทั่งปี 1966 ขวบปีที่น่าทึ่งสำหรับสองประเทศจากเกาะบริเตนใหญ่นั่นคืออังกฤษและสกอตแลนด์ เมื่อทัพสิงโตคำรามผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครองเป็นสมัยแรก (และสมัยเดียว) ได้ในเดือนกรกฎาคมปี 1996 ขณะที่สโมสรจากสกอตอย่างกลาสโกว เซลติกก็กลายเป็นสโมสรแรกจากสหราชอาณาจักรที่ชนะการแข่งขันระดับสโมสรชั้นนำของยุโรปได้สำเร็จ
ในระบบการแข่งขันที่ใช้รูปแบบน็อคเอ้าท์หรือแพ้คัดออกนั้น เซลติกมั่นใจสุดขีดด้วยศักยภาพเกมรุกอันไร้เทียมทานของพวกเขา ในรอบแรกเอาชนะเอฟซี ซูริคทีมจากสวิตเซอร์แลนด์ไปอย่างง่ายดายและเขี่ยสโมสรจากฝรั่งเศสอย่างน็องต์ร่วงตกรอบไปในรอบต่อมา ซึ่งจัดการซัดไปถึง 12 เม็ดจากสี่เกมรวมเหย้า-เยือน อย่างไรก็ตามของแข็งที่แท้จริงคือคู่ต่อสู้ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ไม่อาจผ่านไปได้อย่างง่ายดายเลย
เมื่อทีมม้าลายเขียวขาวถูกจับติ้วมาเจอกับยอดทีมแห่งยูโกสลาเวียในเวลานั้นอย่างวอจ์โวดิน่า เกมนัดแรกที่นอวิ ซาดของเซลติกเปรียบเสมือนฝันร้ายเมื่อบุกไปพ่ายมาก่อน 1-0 ก่อนจะกลับมาเอาคืนได้ในนัดสองที่สองในบ้านตัวเองชนิดเกือบร่วงตกรอบ เมื่อต้องรอให้บิลลี่ แม็คนีลล์ตำนานกองหลังทีมชาติสกอตแลนด์ช่วยยิงประตูชัยนาทีสุดท้ายช่วยให้ทีมพลิกเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 รอบต่อมาพวกเขาเผชิญหน้ากับทีมจากยุโรปตะวันออกอีกครั้งกับดูก้า ปรากซ์ สโมสรจากสาธารณรัฐเช็ก แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่พลาดเก็บชัยไปด้วยประตูรวม 3-1 แม้ว่าจะต้องลงเล่นเกมเยือนนัดสองที่เต็มไปด้วยปัญหามากมาย เช่นการถูกปฏิเสธประตูที่ยิงเข้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยความร้อนรองของเซลติกก็ไม่อาจจะหยุดยั้งประตูเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกของพวกเขาไปได้ และต้องพบกับงานสุดหินเมื่อต้องฟันแข้งกับหนึ่งในสโมสรที่สุดที่สุดในยุโรปอย่างอินเตอร์ มิลาน และก็เป็นไปตามหลายฝ่ายคาดหมายเมื่อซานโดร มาซโซล่า ตำนานกองหน้าซัดจุดโทษให้งูใหญ่ออกนำไปก่อนและจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ทำให้หลายฝ่ายคาดหมายว่าฝันหวานของม้าลายเขียวขาวคงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้วล่ะ แต่แล้วแฟนบอลทั่วทั้งยุโรปโดยเฉพาะสาวกงูใหญ่ก็ต้องช็อกกันตาตั้ง เมื่อขุนพลเลือดขี้เมาไม่ยอมสิ้นชีพและสู้กลับจนทำสองประตูรวดได้จากทอมมี่ เก็มเมลล์และสตีวี่ ชาลเมอร์ส พาทีมดังแห่งกลาสโกวพลิกล็อกเอาชนะอินเตอร์มิลาน 2-1 ผงาดคว้าถ้วยยุโรปไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่
2. เฟเยนูร์ด – 1969/70
ในช่วงศตวรรษที่ 70 นั้น ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ยังไม่ถึงวันรุ่งโรจน์ ฟุตบอลภายในดินแดนกังหันนั้นยังคงอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหลายช่วงตัว โททัล ฟุตบอล, โยฮัน คลัฟฟ์หรือไรนุส มิเชลส์เหรอ? ไม่มีใครในยุโรปที่รู้จักชื่อข้างต้นนี้แม้แต่นิดในช่วงเวลานั้น แม้ความพยายามครั้งแรกของฟุตบอลดัตช์นั้นก็เกือบประสบความสำเร็จได้เมื่อฤดูกาล 1968/69 เมื่อทีมดังอย่างอาแจ็กซ์ทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ แต่ต้องพ่ายให้กับอินเตอร์ มิลานยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูหนังในเวลานั้นด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 4-1
เฟเยนูร์ด ณ เวลานั้น จริงอยู่พวกเขาอาจจะรู้จักกันบางในฮอลแลนด์ แต่ก็ไม่เคยมีชื่อเสียงเป็นที่ได้ยินไปในยุโรปอย่างเป็นรูปธรรมนัก ทว่าความสำเร็จครั้งแรกที่ช่วยล้างแค้นให้กับเพื่อนร่วมลีกในถ้วยสโมสรยุโรปเมื่อฤดูกาล 1969/70 นั้นคือประตูสู่ชื่อเสียงของสโมสรจากฮอลแลนด์ทีมนี้
เกมรอบแรกพวกเขาเปิดตัวได้อย่างโหดเหี้ยมเมื่อจัดการถล่มเคอาร์ เรย์ยาวิค สมันน้อยจากไอซ์แลนด์ไปด้วยผลรวม 16-2 และฉลุยไปดวลกับแชมป์เก่าอย่างอินเตอร์ มิลานในรอบสอง โดยเส้นทางของทีมจากลีกดัตช์เกือบจะจบลงด้วยหนังม้วนเดิมอีกครั้ง เมื่อเฟเยนูร์ดบุกไปพ่ายก่อนในนัดแรกที่ซานซิโร่ 1-0 แต่มาล้างแค้นได้ในนัดที่สองด้วยสกอร์ 2-0 และเข้ารอบก่อนรองฯไปเฉือนทีมจากเยอรมัน ตะวันตกอย่างวอร์วาร์ทส เบอร์ลินด้วยสกอร์รวมเดียวกัน ส่วนในรอบรองชนะเลิศนั้นความร้อนแรงของม้ามืดสีส้มยังหยุดไม่อยู่เมื่อโค่นลีเกีย วอร์ซอว์ ทีมดังโปแลนด์ไปได้ 2-0 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศพบกับแชมป์เก่าเมื่อซีซั่น 1966/67
นัดชี้ชะตา ณ ซานซีโร่ กลาสโกว เซลติกคือคู่แข่งที่หวังคว้าถ้วยรางวัลนี้ไปครองให้ได้เป็นสมัยที่สอง และเซลติกสานฝันของตัวเองได้ด้วยการยิงออกนำไปก่อนจากทอมมี่ เก็มเมลล์ แต่เฟเยนูร์ดก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไล่มาเป็น 1-1 จากประตูของไรนุส อิสราเอล เกมลากยาวไปเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษและทำท่าว่าจะตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ แต่แล้วโอเว่ เคนด์วาลล์ ตำนานนักเตะชาวสวีดิชรับบทฮีโร่ซัดตุงในนาทีที่ 117 พาเฟเยนู์ดทำเทพนิยายคว้าแชมป์เป็นสมัยแรกและยังเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ในเวลาต่อมาอีกด้วย
3. แอสตัน วิลล่า – 1981/82
เมื่อพูดถึงความสำเร็จในยุโรปและฟุตบอลอังกฤษ สโมสรที่มักจะถูกกล่าวขานถึงก็คงหนีไม่พ้นลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรืออาจจะเป็นบรรดาทีมที่ทำผลงานได้ดีในช่วงหลังอย่างเชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างไรก็ตามหนึ่งชื่อในประวัติศาสตร์ที่น้อยคนจะทราบยังมีแอสตัน วิลล่ารวมอยู่ด้วย แม้ว่าความสำเร็จล่าสุดของพวกเขาอาจจะไม่สามารถครอบงำความสำเร็จของยุโรปได้ยาวนานนัก แต่เพียงครั้งเดียวก็ไม่อาจจะลบความรู้สึกนี้ลงไปได้ นี่คือเส้นทางอันน่าจดจำของสิงห์ผงาดในรายการฟุตบอลยุโรปประจำฤดูกาล 1981/82
ทัวร์นาเม้นท์ในรายการยุโรปครั้งแรกของวิลล่าภายใต้การนำของโทนี่ บาร์ตันประเดิมรอบแรกด้วยการถล่มวาลูร์ เรย์ยาวิค ทีมจากไอซ์แลนด์ไปแบบสบายเท้า 7-0 ก่อนในรอบสองต้องเจอกับงานหินเมื่อพวกเขาเสมอกับทีมจากเยอรมันตะวันออกอย่างไดนาโม เบอร์ลิน 2-2 แต่กินบุญเก่าผ่านเข้ารอบไปได้อย่างหวุดหวิดจากลูกยิงด้วยกฏอเวย์โกล สิงห์ผงาดยังคงฟอร์มแรงต่อเนื่องด้วยการเอาชนะไดนาโมเคียฟจากโซเวียต และอันเดอร์เลชท์ในรอบต่อมาได้ ก่อนจะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับอดีตแชมป์สามสมัยและมหาอำนาจลูกหนังในเวลานั้นอย่างบาเยิร์น มิวนิค
รอบชิงชนะเลิศ ณ สนามเหย้าของเฟเยนูร์ด เสือใต้นำทัพมาโดยยอดขุนพลอย่างคาร์ล-ไฮนซ์ รุมมินิเก้, พอล ไบรท์เนอร์ และคลาอุส ออเกนทาเลอร์ พวกเขาถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์อย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอนว่ายอดทีมแห่งบาวาเรียนดาหน้าเปิดเกมบุกใส่ทีมโนเนมจากเกาะอังกฤษตลอดทั้งเกม กระนั้นกลับไม่อาจส่งบอลผ่านมือของนายด่านมือสองของวิลล่าอย่างนิเกล สพิงค์ที่ช่วยชีวิตสิงห์ผงาดเอาไว้หลายต่อหลายครา จนกระทั่งนาทีที่ 67 ว่าที่กุนซือทีมชาติไทยอย่าง ปีเตอร์ วิธ ก็รับบทฮีโร่ขี่สิงห์ขาวซัดประตูชัยโทนให้วิลล่าผงาดคว้าถ้วย ยูโรเปี้ยนคัพ ไปครองได้สมชื่อ
4. เรด สตาร์ เบลเกรด – 1990/91
เรด สตาร์ เบลเกรด สมัยยังเป็นสโมสรในสังกัดสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียถือเป็นขาประจำที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรปมานับตั้งแต่ปี 1950 และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ถึงสองครั้ง กระนั้นทีมดาวแดงก็ไม่เคยถูกมองว่าจะมีดีพอลุ้นแชมป์รายการนี้แต่อย่างใด หลังจากกำราบทีมจากสวิสอย่างกราสฮ็อปเปอร์และสกอตแลนด์อย่างกลาสโกว เรนเจอร์ไปแบบไม่ยากเย็นนัก แต่เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในรอบต่อมากับไดนาโม เดรสเดน สโมสรดังจากเยอรมัน ตะวันออก เกมนัดแรกผ่านไปฉลุยในสังเวียนของเบลเกรดกับชัยชนะ 3-0 ของเจ้าบ้าน อย่างไรก็ตามในเกมเลกสองจากการพบกันสองทีมในประเทศสังคมนิยม ขณะที่เดรสเดนนำอยู่ 2-1 กองเชียร์ของเจ้าบ้านเริ่มก่อจลาจลขว้างปาสิ่งของและพลุไฟ ส่งผลให้ผู้ตัดสินในเกมนัด เอมิลิโอ โซเรียโนไม่มีทางเลือกด้วยการเป่ายุติการแข่งขัน พร้อมกับให้เบลเกรดชนะไปด้วยสกอร์ 3-0
สำหรับรอบรองชนะเลิศ ทีมจากยูโกสลาเวียของกุนซือยุฟโก้ เปโตรวิชต้องโคจรมาพบกับทีมแชมป์เยอรมัน ตะวันตกอย่างบาเยิร์น มิวนิคในเกมสุดเร้าใจนัดหนึ่ง โดยเกมแรกที่เมืองเบียร์นั้นเป็นเบลเกรดที่เฉือนเอาชนะไปได้ 2-1 อย่างไรก็ตามนัดที่สองนั้น แม้สตาร์ของเบลเกรดอย่างซินิซ่า มิไฮโลวิชจะยิงให้ต้นสังกัดออกนำไปก่อน แต่เสือใต้ไม่ยอมตายไล่แซงมาอีกสองลูก ทว่าความฝันของบาเยิร์นต้องสลายเมื่อแข้งเสือใต้อย่างคลาอุส ออเกนทาเลอร์ ดันไปทำบอลเข้าประตูตัวเองส่งสโมสรจากยูโกสลาฟเข้าไปไล่ล่าประวัติศาสตร์ของตัวเองกับโอลิมปิก มาร์กเซย์
เรดสตาร์เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปเป็นครั้งแรกและต้องเผชิญหน้ากับทีมแชมป์จากฝรั่งเศสที่นำทัพมาโดยแข้งอหังการอย่าง ฌอง ปิแอร์ ปาแปง, ฌอง ติกาน่า รวมไปถึงกองหน้าดาวรุ่งอย่างเอริค คันโตน่าที่ใครหลายคนคาดว่าแชมป์ครั้งนี้คงไม่หนีมือมาร์กเซย์ไปแน่นอน กระนั้นเบลเกรดกลับสามารถต้านทานแนวรุกอันโหดร้ายไว้ได้อย่างแข็งขันจนเกมลากยาวไปถึงช่วงดวลจุดโทษวัดใจ เพียงแค่มานูเอล อโมรอส ผู้รับหน้าที่สังหารเป้านิ่งคนแรกของมาร์กเซย์ยิงพลาดก็เหมือนฟ้าได้ลิขิตชะตาเอาไว้แล้ว และแน่นอนวินาทีหลังจากที่ดาร์โก้ ปานเซฟกองหน้าตัวเก่งส่งบอลลูกลมเข้าไปซุกก้นตาข่าย ก็เพียงพอจะส่งให้เรด สตาร์ เบลเกรดคว้าถ้วยแชมป์ยุโรปไปครองได้เป็นสมัยแรกและสมัยเดียวของพวกเขา
5. เอฟซี ปอร์โต้ – 2003/04
นับตั้งแต่รายการชิงแชมป์สโมสรยุโรปเปลี่ยนโฉมใหม่จากยูโรเปี้ยนคัพมาเป็นแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างในทุกวันนี้ รูปแบบการแข่งขันใหม่นั้นได้ทำให้การเกิดม้ามืดขึ้นมาสักทีมเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่บุรุษนามว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ทำไม่ได้ เมื่อเขาสร้างประวัติศาสตร์ทำทีมจากโปรตุเกสอย่าง เอฟซี ปอร์โต้ คว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ไปครองได้แบบเซอร์ไพร์สแฟนบอลทั้งโลก ทำให้เป็นกระแสอยู่พักใหญ่ รวมถึงทุกคอลัมน์ฟุตบอลต้องพูดถึงเรื่องนี้ไม่เว้นแต่ละวัน
เส้นทางแชมเปี้ยนมีอยู่ว่าในฤดูกาล 2003/04 ของรายการนี้นั้น แม้ว่าในรอบแบ่งกลุ่มปอร์โต้จะต้องเจอกับงานหนักไม่น้อยเมื่อถูกจับติ้วมาอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมอย่าง เรอัล มาดริด โอลิมปิก มาร์กเซย์ และปาร์ติซาน เบลเกรด แต่ปอร์โต้ก็สามารถทะลุผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้เป็นอันดับสองตามหลังราชันชุดขาวไปได้แบบหวุดหวิด
ขวากหนามสำคัญในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของปอร์โต้คือยอดทีมจากพรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งเกมแรกนั้น เบนนี่ แม็คคาร์ธีย์ ดาวยิงชื่อก้องช่วยยิงให้ทีมดังแดนฝอยทองเก็บชัยไปได้ก่อนในนัดแรก 2-1 และเกมนัดสองที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด พอล สโคลส์ ซัดให้ปีศาจแดงนำไปก่อนและเกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยผลรวมสองนัดเป็นยูไนเต็ดเข้ารอบอยู่แล้ว ถ้าไม่มี คอสตินญ่า มิดฟิลด์โปรตุกีสที่ดันซัดประตูชัยอเวย์โกลนาทีสุดท้ายชนิดที่ทำเอามูรินโญ่ถึงกับวิ่งดีใจสไลด์เข่าอันลือลั่นกลางโรงละครแห่งความฝันให้ป๋าแพนด้าควันออกหูนั่นเอง

ส่วนในรอบต่อมาปอร์โต้ส่งโอลิมปิก ลียงกลับฝรั่งเศสด้วยชัยชนะรวม 4-2 และฉลุยเข้าไปตัดเชือกกับเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า ที่เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ในบ้าน ทีมของมูรินโญ่ก็บุกไปเอาชนะได้ถึงสเปน 1-0
ในรอบชิงดำปอร์โต้ต้องเจอกับคู่แข่งจากฝรั่งเศสอย่างโมนาโกที่ทำผลงานได้เซอร์ไพร์สไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ดีหลายฝ่ายต่างก็ยกให้สโมสรจากเมืองน้ำหอมเป็นต่อมากกว่าจากฟอร์มของแนวรุกอย่าง เฟร์นานโด มอริเอนเตส กองหน้าที่ยืมมาจาก เรอัล มาดริด และดาโด แปร์โซ หัวหอกเปียงาม ที่ทั้งคู่ยิงรวมกันในรายการนั้นไปมากถึง 16 ประตู แถมยังมี ลูโดวิช ชูลี่ ห้องเครื่องกัปตันทีมคอยบัญชาการเกมอยู่อีกต่างหาก



อย่างไรก็ตามบรรดาตัวรุกระดับพระกาฬที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกลับไม่สามารถสร้างประโยชน์อันใดในเกมดังกล่าวได้เลย เมื่อ เอฟซี ปอร์โต้ สามารถจารึกนัดชิงที่เอาชนะในนัดชิงชนะเลิศที่สมบูรณ์แบบที่สุดนัดหนึ่งด้วยสกอร์ 3-0 จากดาหน้าถล่มของ อัลแบร์โต้, เดโก้, ดิมิทรี่ อเลนิเชฟ จากนั้นตำนาน เดอะ สเปเชี่ยล วัน ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มนต์เสน่ห์ลูกหนังจากการโผล่ขึ้นมาคว้าถ้วยแชมป์ของบรรดาทีมม้ามืดนั้นเป็นสิ่งหอมหวานของแฟนบอลเสมอ รายนามเหล่าสโมสรข้างต้นคือตัวอย่างของคำว่า “ลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้” อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่โชเซ่ มูรินโญ่พาปอร์โต้เซอร์ไพร์สชูถ้วยบิ๊กเอียร์เมื่อฤดูกาล 2003/04 หลังจากนั้นก็ไม่มีทีมอันเดอร์ด็อกใดๆ ที่ทะลึ่งโผล่ขึ้นมาคว้าแชมป์รายการนี้ได้อีกเลย ขั้วอำนาจส่วนใหญ่จะไปตกอยู่ในมือของบรรดาโคตรสโมสรอย่าง บาร์เซโลน่า ที่คว้าไปสี่ครั้ง, เรอัล มาดริด อีกสามสมัย และรวมไปถึงยักษ์ใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค เชลซี เป็นต้น แต่ก็นั่นแหละสำหรับโลกของฟุตบอลแล้ว อะไรๆ เกิดขึ้นได้ จบซีซั่น 2017/2018 นี้เราอาจจะได้เห็นทีมอย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ หรือ ชักตาร์ โดเน็ตส์ก โผล่ขึ้นมาฉลองแชมเปี้ยนส์ลีกในบั้นปลายก็ได้ ใครจะไปรู้…
ireallylikefootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“Football can make a friend, can make a life”
หากต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา email มาที่ ireallylikefootball@gmail.com
หรือติดต่อเราได้ที่ http://www.ireallylikefootball.com/contact