ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ และหาก ireallylikefootball.com จะลองท้าให้คุณทายชื่อนักฟุตบอลคนหนึ่งขึ้นมา โดยคำบอกใบ้คือ เป็นนักเตะผมทองจอมปั้นฟรีคิก ยุค 90 ถือเป็นยุคทองของเค้า เค้าคนนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก โด่งดังไม่แพ้ เปเล่ ไข่มุกแห่งบราซิล หรือ ดีเอโก้ มาราโดนา แห่งอาร์เจนติน่า มีชื่อเสียงโด่งดังกว่ากับซุปเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลีโอเนล เมสซี่ เพิ่งแขวนสตั๊ดไปไม่นานด้วยวัย 38 ปี จนทุกวันนี้ความโด่งดังของเค้าก็ไม่ได้ลดลง และยังคงเป็นซุปเปอร์สตาร์อยู่เสมอ พอนึกออกหรือยังครับ ใช่แล้ว…เค้าคือ
เดวิด เบ็คแฮม
วันนี้ ireallylikefootball.com จะขอกล่าวถึง ประวัติของ ซุปเปอร์ เดวิด ไอดอล เบ็คแฮม โดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จนเข้าสู่วงการลูกหนัง เรื่องราวความเป็นมาของเส้นทางชีวิตนักฟุตบอล และชีวิตส่วนตัว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ปี 1975 หรือเมื่อ 42 ปีที่แล้ว ในเมือง เลย์ตันสโตน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ครอบครัวชนชั้นกลางเล็กๆ ได้ถือกำเนิดเด็กชายที่ชื่อว่า เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม (David Robert Joseph Beckham) เด็กชาย เดวิด เบ็คแฮม เติบโตขึ้นพร้อมกับครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นแฟนของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตำนานของวงการฟุตบอลแห่งสหราชอาณาจักร
เมื่อครั้ง เบ็คแฮม ยังเป็นเด็กในวัยหัดเดิน พ่อของเขาได้ทำลูกบอลขึ้นจากถุงเท้า เพื่อให้เขาลองเตะ และก็เป็นครั้งแรกที่เด็กชายได้สัมผัสกับการเล่นฟุตบอล กลายเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับนักฟุตบอลซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก ต่อมาเมื่อเบ็คแฮม อายุได้ 4 ขวบ เขาเริ่มฝึกฝนเทคนิค ด้วยตนเองหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ในสวนสาธารณะใกล้ๆ บ้าน จากความชอบส่วนตัว จนกลายมาเป็นความฝันในอนาคตของเด็กชายตัวเล็กๆ ในตอนนั้น และเมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่คุณครูถามถึงอนาคตว่าเมื่อโตขึ้น ต้องการจะเป็นอะไร
เบ็คแฮมในวัยเด็ก จะตอบเสมอว่าเป็น “นักฟุตบอล” แม้คุณครูของเขาจะถามซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาก็จะตอบแบบเดิม เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขา “ต้องเป็นให้ได้”
พ่อของ เบ็คแฮม เป็นช่างซ่อมเครื่องไฟฟ้าและซ่อมครัว ส่วนแม่ ทำอาชีพออกแบบทรงผม เบ็คแฮม เป็นเด็กชายที่โชคดี มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อของเขาให้การสนับสนุนลูกชายคนเดียวในครอบครัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นเมื่อเขาอายุได้ 7 ปี พ่อและแม่ของเขาจึงส่งเขาให้กับโครงการฝึกอบรมเยาวชนของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อที่จะได้เรียนรู้และฝึกซ้อมทางด้านฟุตบอลอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มทักษะต่างๆ ให้กับตัวเขาเอง และเขาก็ต้องการแบบนั้น ครอบครัวของเบ็คแฮม ยังขับรถเกือบ 200 ไมล์ ทุกสัปดาห์เพื่อมาชมการฝึกซ้อมของเขาด้วย
เบ็คแฮมได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พรสวรรค์ของเขาไปเข้าตาเจ้าหน้าที่ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้ขอให้เขาไป ร่วมชมรมเยาวชนของสโมสร จนเมื่ออายุ 10 ปี เบ็คแฮม ก็ได้ออกจากบ้านเพื่อมาเล่นให้กับแผนกการฝึกของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกอบกับการที่ครอบครัวเป็นแฟนบอลของทีมสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และมักเดินทางไปดูการแข่งขันที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด อยู่เสมอ ทำให้ทางด้านครอบครัวของเขาดีใจไม่น้อย และเขาก็ได้เข้าเป็น นักเตะฝึกหัดของ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในที่สุด
จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล ในปี 94-95 ที่ผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ออกจากทีมไป ผู้จัดการทีมในตอนนั้นคือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงสั่งนำนักเตะทีมเยาวชนขึ้นมาทดลองเล่น เดวิด เบ็คแฮม ก็เป็นหนึ่งในนักเตะกลุ่มนั้น และเบ็คแฮม เป็นแข้งดาวรุ่งคนแรกที่ สามารถทำประตูแรกได้ตั้งแต่ในนัดแรกของฤดูกาล (นัดที่แข่งกับเวสต์แฮม ชนะไปด้วย 3-1 ประตู) และเขาก็ได้เป็นผู้เล่นตัวจริงถาวร ตั้งแต่นั้นมา
ชื่อเสียงของเบ็คแฮม เริ่มโด่งดังมากขึ้น ในเดือนสิงหาคม ปี 1996 เมื่อครั้งที่เขาสามารถ ทำประตูได้จากครึ่งสนาม! ในนัดที่พบกับ วิมเบิลดัน ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักและถูกทั้งโลกจับตามอง มากยิ่งขึ้น แถมด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อและเท่ห์ จนกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทั่วโลก ในยุคนั้น ต่อมา ในปีเดียวกัน เมื่อเดือนกันยายน เขาก็ได้ติดธงทีมชาติอังกฤษ เป็นครั้งแรก และยังได้รับตำแหน่ง นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือน สิงหาคม ปี 1996 ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แถมด้วยตำแหน่งนักฟุตบอล ดาวรุ่งยอดเยี่ยม ของ พีเอฟเอ PFA ในปี 1996-97 อีกด้วย
ฟุตบอลโลก ในปี 1998 แม้ว่าเบ็คแฮมจะได้ลงเล่นครบทุกนัดก็ตาม แต่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในตอนนั้น คือ เกล็น ฮ็อดเดิ้ล ได้วิจารณ์ว่า เบ็คแฮมนั้นไม่มีสมาธิกับฟุตบอลเท่าใดนัก ทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นใน 2 นัดแรก แต่สามารถกลับมาลงสนามได้อีกนัด ในรอบที่อังกฤษชนะโคลัมเบีย 2-0 และสามารถทำประตูได้ด้วย
ต่อมาในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสอง นัดที่เป็นที่จดจำของเบ็คแฮมและแฟนบอลตลอดไป คือเกมส์ที่พบกับทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งเบ็คแฮมได้ทำฟาล์วนอกเกมกับ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินา ทำให้การแข่งขันนัดนั้น อังกฤษเสมอกับอาร์เจนตินา จนต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ และเป็นอังกฤษที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับอาร์เจนติน่าในการดวลจุดโทษ
ทำให้สื่อมวลชนอังกฤษในขณะนั้น โจมตีว่าเป็นความผิดของเบ็คแฮม นับเป็นช่วงที่ยากลำบากของเค้าเลยทีเดียว แต่ทว่า เบ็คแฮม ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรควันนั้นมาได้ จนเมื่อ ปี 1998-1999 สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติกาล โดยการคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ ซึ่งคว้าแชมป์ในรายการสำคัญได้ทั้ง 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัฟ และ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก โดยที่เบ็คแฮมนั้น มีส่วนร่วมอย่างมากในการทำประตูในการแข่งขันนัดสำคัญ และผลงานอันโดดเด่นในปีนั้น กลายเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนบอลให้อภัยในความผิดพลาดในฟุตบอลโลกครั้งก่อน
พอชื่อเสียงของเขากลับมาโด่งดังอีกครั้ง เขาก็เริ่มมีปัญหากับผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งมองว่า ชีวิตส่วนตัวของเบ็คแฮม ที่กำลังคบหาดูใจกับ วิคตอเรีย ส่งผลให้เบ็คแฮมนั้นมีพฤติกรรมแย่ๆ นอกสนาม และไม่มีสมาธิกับการแข่งขันเท่าที่ควร นั่นจึงกลายเป็นรอยร้าวระหว่าง ผู้จัดการทีมกับนักเตะซุปเปอร์สตาร์ แล้วความสัมพันธ์ก็มาถึงจุดแตกหักในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี 2003 หลังการแข่งขันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซนอล เมื่อต้องพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังห้องแต่งตัว เฟอร์กูสัน ได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดน เหนือหัวคิ้วของ เบ็คแฮม จนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีมของดาวเตะในตำนานแห่งปีศาจแดง หลังสิ้นสุดฤดูกาลลง นับรวมแล้ว เบ็คแฮม ได้ลงสนามกับให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 394 นัด กับผลงาน 85 ประตู จบตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่นั้นมา
ต่อมา เมื่อเขาย้ายมายังทีม รีล มาดริด ด้วยค่าตัวประมาณ 35 ล้านยูโร ซึ่งขัดกับทาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องการขายเบ็คแฮม ให้กับสโมสรฟุตบอล บาร์เซโลนา ทว่า รีล มาดริด กลับชิงตัว เบ็คแฮม ไปได้ พร้อมการเซ็นสัญญา 4 ปี และสวมเสื้อหมายเลข 23 แม้ว่าเริ่มต้นฤดูกาลแรกได้ค่อนข้างดี แต่ มาดริด ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้ อีกทั้งเมื่อจบฤดูกาล เบ็คแฮม ก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวกับผู้ช่วยและ นางแบบชาวออสเตรเลีย ซึ่งเขาได้ปฎิเสธข่าวเหล่านี้ทั้งหมด และในปีเดียวกันนั้นเองที่เขาได้ลงแข่งขัน ยูโร 2004 แต่ยิงลูกโทษพลาด จนทำให้อังกฤษ พ่ายแพ้แก่ โปรตุเกสในรอบสี่ทีมสุดท้าย
ต่อมาเมื่อปี 2006 แม้ว่าเขาจะสามารถยิงประตูในนัดที่แข่งกับ เอกวาดอร์ ในรอบที่ 2 ได้ แต่เมื่อแข่งกับทีมโปรตุเกสในรอบถัดมา เขาก็ได้รับบาดเจ็บ จนถูกเปลี่ยนตัวออก และอังกฤษก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับโปรตุเกสอีกครั้ง หลังจบฟุตบอลโลกในครั้งนี้ เบ็คแฮม จึงได้ตัดสินใจประกาศลาออกจากการเป็น กัปตันทีมชาติอังกฤษ นับแต่นั้นมา
จากนั้นเมื่อหมดสัญญากับ รีล มาดริด เขาก็ได้ไปเล่นให้กับทีม แอลเอ กาแลกซี และถูกยืมตัวในบางฤดูกาลเพื่อไปเล่นให้กับ เอซี มิลาน และสุดท้าย ชีวิตนักเตะของเขาได้จบลงที่ทีม ปารีสแซ็งต์ แชร์กแมง เมื่อเขาได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในวัย 38 ปี แต่แม้ว่าเขาจะอำลาจากนักฟุตบอลอาชีพแล้ว แต่ความโด่งดังของเขาไม่ได้ลงลงไปเลยสักนิด เบ็คแฮม ยังคงวนเวียนอยู่ในหลากหลายวงการ เขาทำแบรนด์เสื้อผ้า และในปัจจุบัน เขาก็มีโครงการทำสโมสรฟุตบอลของตนเอง นอกจากนี้ เบ็คแฮม ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็น นายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the Order of the British Empire) จาก ควีน อลิซาเบธ ที่ 2 อีกด้วย
ปัจจุบัน เดวิด เบ็คแฮม แต่งงานกับ วิคตอเรีย เบ็คแฮม มีลูกชาย 3 คน และลูกสาว 1 คน คือ บรู๊คลิน โจเซฟ เบ็คแฮม, โรมิโอ เจมส์ เบ็คแฮม, ครูซ เดวิด เบ็คแฮม และ ฮาร์เปอร์ เซเว่น
จากประวัติความเป็นมาของเบ็คแฮมจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า เทพบุตรลูกหนัง รายนี้ถือเป็นไอดอลของใครหลายๆ คน และยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนบอลแมนยูฯ ในยุค 90 หรือแฟนบอลทีมอื่นๆ ก็ชื่นชมในตัวเบ็คแฮมเช่นกัน เพราะฝีเท้าที่ยากจะหาใครเทียบเคียงได้ ลูกครอสอันเป็นเอกลักษณ์ที่แม่นยำ ลูกเซ็ตพรีสที่เฉียบคม หรือลูกปั้นฟรีคิดที่หวังผลได้ รวมถึงยังเป็นนักเตะที่มีวินัยดีเยี่ยม ขยันซ้อมสุดๆ มีภาวะผู้นำทั้งในและนอกสนาม หน้าตาและบุคคลิกที่หล่อเหลา เค้าจึงถือเป็นความภาคภูมิใจของเหล่า เร้ด อาร์มี่ ทั่วโลกและชาวอังกฤษ อย่างแท้จริง
ireallylikefootball.com เว็บไซต์ คอลัมน์ฟุตบอล บทความฟุตบอล สร้างสรรค์ผลงานจากความตั้งใจ โดยกลุ่มคนที่รักและชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“Football can make a friend, can make a life”
หากต้องการติดต่อสอบถามหรือขอลงโฆษณา email มาที่ ireallylikefootball@gmail.com
หรือติดต่อเราได้ที่ http://www.ireallylikefootball.com/contact